Friday, February 9, 2007

ชีวิตฉันกับนมเปรี้ยว

จู๊ด ๆๆๆ ... อะฮ๊า!! ...... แหม มันช่างสดชื่นจริงๆ

เว่อไปหรือเปล่า กะอีแค่ต้องดูด
นมเปรี้ยวทุกเช้าก่อนออกไปเรียนจนทำงานแล้วก็ยังทำ

ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันเรื่องความเคยชินไปแล้วหล่ะ เขาว่ากันว่า คนเราทำอะไรติดต่อกันเกิน 27 วัน ก็จะติดนิสัยนั้นทันที อืม แต่ทำไม เราเรียนติดต่อกันเป็นเวลาเป็นสิบปี แต่ทำไมไม่มีนิสัยรักเลยเลยฟระ?

เราเลือกกิน เพราะเชื่อว่า มันต้องช่วยให้เราปวดท้องเข้าห้องน้ำทุกวัน แล้ววันนั้นก็จะแสนสุข พร้อมสวาปามกับวันใหม่ได้ โดยไม่ต้องหนักท้อง พะอืดพะอม 555 (เห็นแก่กิน เหรอเนี่ย) ... แรกๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหล่ะ มีความสุขทุกวัน จนเวลาผ่านไป จากเดือน เป็น ปี จากปี เป็น สองปี ทำไมมันเงียบไป...ไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับจากการดูด
นมเปรี้ยวอีก หรืออาจเป็นเพราะว่า เจ้าเครื่องในของเรามันชินกับการดูดติดต่อกัน 27 วันไปแล้ว อีตอนแรกมันก็คงตื่นเต้น เจอของเปรี้ยวสาดใส่ กระเพาะ ลำไส้เลยจั๊กกะเดียม ขนลุกจากในสู่นอก ทำเราขนลุกชูชันไปด้วย วิ่งเข้าห้องสุขาแทบไม่ทัน...

ยังไงก็ตาม มันก็ทำให้เราเลิกดูดไม่ได้เหมือนกัน เพราะเราดูดติดต่อเกิน 27 วันไปแล้ว ... นั่นแหล่ะ ทำให้เราเลิกกับนายไม่ได้ซักที เจ้านมเปรี้ยว

ถ้าไม่นึกถึงว่ามันเป็นยาระบาย ... แล้วมองอีกหลายมุมประโยชน์ จาก
นมเปรี้ยวมันก็มีเยอะจริงๆ รู้อย่างหนึ่งแหล่ะว่ามันมี วิตามินC ช่วยให้หน้าสวยใส ไร้สติ (เอ่อ อันหลังนี่ไม่เกี่ยวเป็นเฉพาะบุคคล)

แล้วตอนเด็กๆ คูณเคยงงป่ะ ที่เขาโฆษณาว่า
นมเปรี้ยวมันมีจุลินทรีย์และแลคโตบาซีลัส เป็นล้านๆตัว ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่ามันมีประโยชน์อะไร ฟังแล้วก็น่ากลัว ว่ามันจะเป็นสัตว์อะไรซักอย่างที่เข้ามาวิ่ง ดุ๊กดิ๊กๆในท้องของเรา แต่ก็ต้องลอง เพราะอยากรู้ เอาน่าซักล้านสองล้านตัวคงไม่เป็นไร เมื่อสัมผัสกับคำแรกเท่านั้นแหล่ะ อร่อยว่ะ ติดใจมากมาย ฉันคงหยุดไม่ได้แล้ว

เมื่อก่อน ป้าจะสั่งมาทีละ 6 ขวด แบ่งกับพี่ แล้วก็ถูกห้ามว่า อย่ากินเยอะ มันไม่ดี เราก็จินตนาการไปว่า เขาคงกลัวไอ้ตัวดุ๊กดิ๊กเต็มท้องเราแน่ๆเลย แต่ขวดมันเล็กอ่ะ ดูดแค่อึดใจเดียวก็เกลี้ยงขวดแล้ว เลยต้องแอบย่องไปกรึ๊บอีกขวด (แต่ก็ต้องตระหนักในในว่าห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด โปรดสังเกตคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง!)...เฮ้อ คงต้องรอวันพรุ่งนี้ถึงจะได้กินใหม่

มันเป็นสันดานติดตัวไปแล้วหล่ะ ฉันว่า.... แล้วก็ยิ่งปีกกล้าขาแข็ง ไม่กลัวที่จะกินเกินกว่า 2 ขวดอีกต่อไป เราเริ่มกินเยอะขึ้น เปลี่ยนเทคนิคการกินไปเรื่อย ทำไอติมบ้าง นมปั่นบ้าง ผสมกับน้ำผลไม้บ้าง หรือเปลี่ยนจากการใช้หลอกเจาะดูด มาเป็นเล็บจิกบนฝาฟลอยด์ แล้วเอาปากประกบดูดซะเลย เอ้า ทำเป็นเล่นไป มันอร่อยขึ้นจริงๆนะคุณ

แล้วเราก็เริ่มเปิดโลกทัศน์กว้างขึ้น เราไม่ยึดติดแค่ยี่ห้อเดียว เราเปลี่ยนรสไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งอร่อยและเต็มไปด้วยปริมาณ เราก็จะเลือกมาดูดดื่มทันที จากขวดเล็กๆ จากซองพลาสติกที่ดูดมาแต่เด็ก ก็เปลี่ยนเป็นกล่องใหญ่ขึ้น ยิ่งโต รสชาติแปลกใหม่ๆเพื่อสุขภาพก็มากขึ้น และตอนนี้ฉันหันมาดูดรส ผักผลไม้ผสม แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะดูดเจ้าขวดเล็กในบางวันด้วย (อย่าน้อยใจน่า ... เรามีเวลาให้นายตลอดแหล่ะ)

ที่เลือกรสนี้ ก็เพราะมันแลดู ได้เยอะดี ทั้งวิตามินและเกลือแร่ ... (one stop drink) เลยไง อิอิ วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไร หรือ เพราะว่ามันว่าง ระหว่างนั่งรถมาทำงาน ก็เลยยกกล่องนมขึ้นมาอ่าน อืมม อ่อ อ่อ ...หืมม ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้สารอาหารเยอะอย่างนี้ กินแทนข้าวได้เลยเนี่ย แถมไร้คอเรสเตอรอลด้วย คุ้มมากๆ หวังว่าคงจะฉลาดขึ้นถ้าดูดบ่อยๆ

เอาน่า ถ้าไม่คิดไรมาก
นมเปรี้ยว อย่างน้อยมันก็แก้เลี่ยน แถมถ้าได้ดูดตอนเย็น มันเหมือนเทผลไม้เข้าท้องเลยละคุณ

วันนี้คุณดูด
นมเปรี้ยวแล้วหรือยัง??
ถ้ายัง ก็ลองคลิ๊กเข้าไปดูประโยชน์กันนะจ๊ะ

Thursday, February 8, 2007

เล็กอย่างนี้ใครจะไปเห็นคะคู๊นนนน!!

ทำไมถึงทำกับฉันได้....

ทำไมถึงทำกับฉานนนนนนนได้...

ณ ขณะพิมพ์ มันอารมณ์นี้แหล่ะ ให้ตายสิ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เคยเจอกับตัวเองไหม เวลาตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างที่มั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้น หรือ มั่นใจว่ามีแน่ๆ มันจะต้องแห้ว!!

แล้วมันก็แห้วรับประทานซะอิ่มเลย เมื่อกี๊ เมื่อกี๊ นี้เอง สดๆร้อนๆ ความรู้สึกที่ทุ่มเททั้งหมด ยอมที่จะปล่อย
เงินเดือนอันน้อยนิดที่พอจะมีหล่นอยู่ในบัญชี เพื่อให้ได้มันมา NIKON D40 ของช๊านนนนนน มันหายไปกับอากาศ หัวใจหล่นมาที่ตาตุ่ม แล้วย้อยมาหมกอยู่ที่ขี้เล็บนิ้วก้อยข้างซ้าย

ความหวังทั้งหมด มันเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนข้าพเจ้า ตื๊ดๆมาหาด้วยอาการตื่นเต้น


ปนฉงนสงสัยว่าไอ้เจ้า NIKON D40 มันมีอะไรดี เนี่ยๆ มันอ่านเจอใน

นสพ.มหาชนติดหนึบฉบับหนึ่ง ลงว่ากล้อง NIKON D40 ลดราคาเหลือเพียง 15,000 บาทเท่านั้น เราก็เอ๊ะ ไม่เห็นมีเลยแวบเข้าไปดูเวบ NIKSTHAILAND ไอ้ตอนแรก อ้อ! สงสัยเป็นงาน NIKON แต่ที่สะดุดคือ งานจัดวันที่ 9/2/07 แต่ที่เพื่อนบอกคือ 8/2/07 แล้วก็ไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับ D40 ราคา 15,000 บาท เพื่อความชัวร์ไม่หน้าแหก เลยโทรไปที่บริษัท ได้คำตอบว่าไม่มีรายการโปรโมชั่นนี้ อ้าววว...รีบโทรให้เพื่อนเชค มันบอกว่าวันที่ 8 จริงๆนะ งาน COMWORLD เลยเพิ่งตระหนักว่า มันคนละงานกันนี่เอง แต่จัดที่พารากอน เหมือนกัน

ไอ้ตอนแรกก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรหรอก เพราะกำลังอ้อนรุ่นพี่แกมบังคับขู่เข็ญให้ขาย NIKON D70 ให้ ใจมันก็เลยท่องแต่ D70 D70 D70 แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้...

ด้วยความหวังดี จะช่วยเพื่อนหาข้อมูลตัว D40 แต่ก็ตกหลุมพรางซะเอง เพราะราคามัน 24,900 บาท กรี๊ดดดดดดด ลดเกือบหมื่น เกือบหมื่นนะเว๊ยเฮ๊ย! ส่วนฟังก์ชั่นการใช้งาน มัน มัน เกือบจะเท่า NIKON D80 แล้วอ่ะค่ะ เพียงแต่มันตัวเล็กกว่าเท่านั้น เหมาะมือกับสาวน้อยตัวเล็กบอบบางอย่างเรามาก หุหุ


แต่สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจ แบบใจจะขาดรอนๆมากที่สุด ก็คือบทความ "จัดกระเป๋าท่องโลก" ของคุณพี่หาว
ตอนอ่านก็ไม่ได้อะไร นึกว่าเป็นเรื่องเล่าชิวๆทั่วไป แต่มันไม่ใช่ คำบรรยายบวกแง่คิดพร้อมภาพประกอบจากกล้อง D80 ที่พี่เค้าใช้ มันเหมือนกับเราไปยืนข้างๆพี่ที่โมร็อคโคจริงๆเลยแหล่ะ (เออ...ขนาดนั้นจริงๆ) แต่เนื่องจากไม่มีปัญญา วุฒิ กะเร เต เต....จะซื้อ D80 ได้ เอาวะ เอาตัวน้องนี่แหล่ะ D40 เบาดีด้วย

เมื่อตัดสินใจกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ... มันคือความตื่นเต้น กระวนกระวาย กระหาย want ยิ่งใกล้วันงาน มันยิ่งเป็น NEED ทันที

และแล้ววันนี้ วันที่ยอมทุ่มทั้งบัญชีให้เธอ...ก็มาถึง เรานับเวลาถอยหลัง...3...2 ...1 เที่ยงเป๊ง! เด้งออกจากเก้าอี้ ตรงดิ่งไปพารากอนโดยนัดเพื่อนมันไว้แล้ว พอเจอกัน เราก็รีบถลาเข้าลิฟท์ที่เบียดเสียดไปด้วยผู้คน นึกในใจว่ามันจะมาแย่งซื้อกล้องตัวเดียวกับกรูป่าวว๊า.... ลิฟท์ก็เร็วๆหน่อยดิ โอยยยยจอดกันทุกชั้นเลย พอถึงชั้น 4 ก็พากันเดินเข้างาน อ๊ะๆ ก่อนเข้าลงทะเบียนด้วยนะจ๊ะ จะได้ Sticker งาน
COMWORLD THAILAND มาแปะเสื้อ เหมือนคณะกรุ๊ปทัวร์อาอึ้มเลยทีเดียว

สถานที่จัดงานมี 2 ห้องใหญ่ แรกก็ตกใจ ไหนวะ กล้อง กล้องอยู่หนายยยย ไหนอ่ะ NIKON อ่ะ เริ่มโรคจิตและแล้วก็เจอ Boot PhotoHUT ....นั่นไงตู้ NIKON

คำถาม : พี่คะ D40 ราคา 15,000 อยู่ไหนคะ ???????

คำตอบ : ไม่มีครับน้อง (ตึ่ง!) จะซื้อราคา 15,000 ได้ น้องต้องซื้อของในงานให้ครบ 50,000 บาทก่อน (ตึ่ง! ตึ่ง!) แล้วน้องก็จะได้คูปองมาจับฉลาก (ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง!) ถ้าจับได้ชื่อน้อง น้องก็ซื้อได้ในราคา 15,000 ครับ (ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ ต ต .... ฟี๊บบบบ.... บรุ๊บบบ แป่ววว)

อ้าว ในหนังสือพิมพ์ ไม่เห็นเขียนเลยเพ่ เราถามกลับด้วยความหมดหวัง เขาก็เลยบอกเรามาว่าเขียนครับ
แต่ตัวคงเล็ก เราเลยสวน ฮึ!คงไม่เล็กธรรมดาแน่ๆเลย มันเล็กมากกกกกกกกจนไม่เห็นเลยแหล่ะพี่ คนขายก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ เราก็ได้แต่ร้องให้ฮือๆ ความฝันความหวังของกรู พังทลายหมดแล้ว

รู้ว่าเป็นกลยุทธ์การโฆษณา แต่ว่า เล็กอย่างนี้ใครจะไปเห็นคะคู๊นนนน!!

Friday, January 12, 2007

ใครว่าทำงานแล้วจะไม่ได้เที่ยว


"ไอ้ข้าว นายเอาไง จะไปไม๊??" เสียงรุ่นพี่ โทรมาจิกปนขู่กับทริปวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มีให้เลือก ระหว่างเขาใหญ่ กะ เชียงใหม่

อืม คิดก่อนนะ ...ถ้าเป็น
เขาใหญ่ก็ไม่อยากไปอ่ะ แต่ถ้าเชียงใหม่ แล้วมันจะมีเวลาเร๊อ??? เมื่อบังคับให้เลือก ก็คงต้องเป็นเชียงใหม่....และจุดหมายที่จะไปคือ ดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยผ้าห่มปก ดอยสูงอันดับสองของประเทศไทย !

ที่ตัดสินใจไปที่นี่ ก็เพราะเราดูตัวอย่างรูปที่รุ่นพี่ส่งมาให้ เป็น Bear With Project , Trip to
ดอยผ้าห่มปก ประทับใจอ่ะ น่ารักโคตร เขาใช้หมีเป็นพระเอกในการเดินทาง แล้วหมีไม่ใช่ตัวเล็กน่ารักนะจ๊ะ แบกตัวเท่าคนไปหน่ะ!!!
เราก็เลยอยากเป็นหมีตัวนั้นบ้าง หุหุ

และแล้วก็มาถึงวันศุกร์ วันนี้รู้สึกป่วยและเพลียมาก เนื่องจากปวดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย...เลยบอกพี่ไปว่า ป่วยอ่ะ ไปม่ไหว.....เสียงก่นด่าทอ สวนกลับมาทันใด! ด้วยศักดิ์ศรีตำแหน่งมันค้ำคอ และยังไม่มีใครมาสืบต่อรุ่นที่ 3 ของ KU Robot จึงต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด เลยตอบไปด้วยความหงุดหงิด "เออๆๆๆ แต่ถ้าป่วยมาก ไม่ไปจริงๆนะ"
แต่สุดท้ายก็โดนลากไปจนได้....

จากที่คุยโม้ไว้ว่าสมาชิกที่ไปมีถึง 15 คนมีน้องๆสาวไปกันตรึม พวกผู้ชายก็ดี๊ด๊ากันใหญ่ แต่งานนี้มีไอ้คนเบี้ยวอยู่ ทำให้ฝันของชายไทยวัยหื่นต้องสลาย สุดท้ายก็เหลือแต่หน้าเดิมๆ (เฮ้อ เมื่อไหร่จะชวนหนุ่มๆไปกันบ้างว๊า จะได้กระชุ่มกระชวยหน่อย)

ทริปนี้มีหนุ่มสาวหน้าตาดีถึง 7 คน จากทั้งหมด 7 คน 555 พูดทำไมวะ ?? รวมกลุ่ม โดยเริ่มเดินทางจาก
เชียงใหม่เที่ยงวัน....แม้จะนาน แต่บรรยากาศรอบข้าง ไม่ไหวแล้ว สวยมาก ลองคิดภาพตามนะ รางรถไฟเส้นทางยาวถูกคลุมไปด้วยหมอก ยิ่งไกลก็ยิ่งทึบจนไม่เห็นทางข้างหน้า อากาศก็เย็นสุดๆ นี่กะว่าจะไม่ขึ้นดอย ไปนั่งชิวตามบาร์ในเมือง เพราะแค่นี้ก็สวยจะแย่แล้ว

ณ เชียงใหม่ เราเตรียมตัว นั่งรถไป อ.ฝาง กันต่อ แต่ระหว่างจะไป บ.ข.ส.นี่สิดันทำกระเป๋าตังหาย !!!! ซวยแสรดดดด รุ่นพีเลยรีบโทรไปสถานีรถไฟ เพราะอาจลืมไว้ในห้องน้ำ ปรากฏว่าเจอ เว๊ย มีคนเก็บไว้ให้ โอเคโล่ง....อ้าวแล้วใครเก็บอ่ะ.....โทรไปอีกรอบ อ้อ ชื่อเปิ้ล ให้ติดต่อเปิ้ล หน้าห้องน้ำนะ โอเค เดี๋ยวขากลับค่อยแวะมาเอา ทริปนี้เราเลยมีคนเลี้ยงทั้งทริปเลย เหอๆๆๆ

นั่งรถหวานเย็น ไป
อ.ฝาง ใช้เวลา 3 ช.ม. รถเหวี่ยงมาก ทำเอาสมาชิกเมารถ เมารัก และ เมาเหล้า ในเวลาเดียวกัน (อันนี้ไม่เกี่ยว เหอๆๆ) ถึงฝาง 5 โมงกว่าๆ ต้องจ้างรถขึ้นไปบนดอยอีก พอได้รถ ก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน เจอเจ๊เจ้าหน้าที่เหวี่ยงใส่อย่างแรงงง มันเริ่มที่เราถามว่าเป็นนิสิตลดป่าวคะ เจ๊บอกว่า ถ้าพี่ลดให้ พี่ก็ต้องออกให้น้องนะ จะเอาไหม เราก็เหรอคะ.....แล้วมันก็เขียนใบเสร็จค่าเข้าโดยลอกจากฟอร์มที่เขียนให้ เจ๊นั่นดันอ่านลายมือเราไม่ออก บ่นอีก เขียนอะไรทำไมอ่านไม่ออกเลยหล่ะ เราเลยเน้นชื่อและนามสกุล (พูดเสียงดังๆข่มไปเลย จะได้รู้ว่าไม่พอใจเหมือนกัน)....เสร็จ ก็เตรียมขึ้นดอย ด้วยอารมณ์บ่จอยเท่าใด

รถเป็นกระบะ มีเหล็กกั้นสูงๆ การเดินทางขึ้นดอยครั้งนี้ผู้หญิงนั่งหลัง ผู้ชายนั่งหน้า เมียคนขับบอก ไม่มีความเป็นผู้ชายเล๊ยยยย 555

แม้ข้างหลังฝุ่นจะเยอะ เพราะถนนเป็นดินแดง แต่มันได้อารมณ์นะ ขึ้นเขากลางคืน ตลอดทาง มีหิ่งห้อย บินมาเล่น มาเกาะ ตลอดเลย กรี๊ดกราด ลั่นป่ากันใหญ่ ...พอขึ้นมาสูงได้ระดับหนึ่ง สวยอีกแล้ว ท้องฟ้า ที่พระอาทิตย์เพิ่งลับ สีแดงอมม่วงสุดสวย เป็นเส้นกลางตัด ทะเลดาว และพระจันทร์เสี้ยวดวงโต บนท้องฟ้า กับ ทะเลดาวนีออน ในตัวเมืองฝาง ระยิบ ระยับไปหมดเลย

ถึงที่พัก ลานกางเต้นท์ มีอยู่แค่ 4-5 เต้นท์เท่านั้น เรามาถึงกลุ่มสุดท้าย เกือบ 2 ทุ่ม รีบกางเต้นท์กัน ปรากฏว่า เต้นที่ผู้หญิงจะนอน เสาดันสั้นไป กางไม่ได้ เลยต้องไปนอนรวมกันที่เต้นท์ใหญ่ อากาศเริ่มหนาวยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ เลยรีบตั้งวงกินข้าว ก่อนเขาจะดับไฟ.....จากนั้นก็อาบน้ำ โอ้บุดด้าเบรสสสส ไม่เคยเจ็บ ขนาดนี้เลย อาบน้ำที่ไหนๆ ก็ไม่หนาวชาเท่าที่นี่แล้ว เจ็บทุกส่วนที่สัมผัสน้ำเลยค่าคู๊นน หน้าว่าด้าน เจอน้ำที่นี่เข้าไป ด้านกว่าเดิมอีก ถึงมาตบก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วตอนนั้น.....

เสร็จ เขาก็ปิดไฟ เราเลยมานั่งผิงเตาถ่าน ปิ้งขนมปัง และ ดวดเบียร์ (ป่าวนะ ไม่ได้กิน เพราะแปรงฟังแล้ว แฮ่ๆๆๆๆ) จากนั้น ก็มาซุกตัวนอนดูดาวตกกัน ....อืมม ดาวไม่เยอะเท่าภูสอยดาว คงเพราะแสงสว่างจากเมืองแน่ๆเลย เลยเห็นดาวตกไม่กี่ดวง....ได้แค่ 4 ทุ่ม ก็ไม่ไหว เข้าเต้นท์ดีฝ่า ต้องตื่นตี 3 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีก ก่อนนอน ทั้งเบียด และตบตีแย่งถุงนอนกับรุ่นพี่ จนน้องสองคนรำคาญ ออกมานอนนอกเต้นท์ จนได้เรื่องคืนนั้น!!!

ระหว่างที่มันนอนอยู่ น้องคนนึงก็สัมผัสได้ถึงมือคนมาจับแขน จับขา แล้วลูบมาถึงเป้า! โอ้ โดนลักหลับหรือเปล่า แต่มันก็ยังพยายามนอนนิ่งใต้ถุงนอนนั้น จนมือเลิกจับไป จากนั้น น้องผู้หญิงที่นอนอยู่ริมประตูเต้นท์ รู้สึกว่ามีคนมารูดซิป มันเลยทักว่าเป็นเพื่อนที่ออกไปนอนนอกเต้นท์หรือเปล่า ด้วยตาที่ยังปรับไม่ได้ของน้องผู้หญิง และ ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร เขาจากไป ทิ้งเพียงร่างดำใหญ่ๆเดินหายไปในความมืด.....บรึ๋ย!!!

สักพัก... น้องผู้ชายทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในเต้นท์ เพราะทนความหนาวไม่ไหว น้องผู้หญิงจึงถาม “เมื่อกี๊แกมารูดเต้นท์ป่าววะ” น้องผู้ชายงง แล้วบอก “กรูเพิ่งเข้ามาเนี่ย” บรึ๋ย!!!! รอบที่สอง .....ทั้งหมด ไม่พูดอะไร แล้วรอเวลาตื่น


ตี3 เสียงนาฬิกาดัง บังคับให้ทุกคนตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น.... เราจัดแจงเตรียมของ และลากสังขารอันอ่อนระโหยโรยแรง แต่กำลังใจเต็มเปี่ยม ขึ้นเขากันเช้ามืดนี้....ทางขึ้นเขา มีทั้งหมด 5 ลูก ไอ้เอี้ย ! ชันแสรดดดด สูงเอี้ย......มืดมาก.....เพียงลูกแรก น้องผู้ชายคนนึง ขอลา เราจึงทิ้งคำสัญญาว่าจะเจอกันข้างบนยอดนะ แต่น้องไม่รับปาก เพราะไม่มีแรงพูด หอบแฮ่กๆๆๆ (เป็นเพราะสูบบุหรี่จัดแน่ๆ) เราเลยไฟฉายให้มัน..... เหลือ 6 คน เดินทางต่อ ด้วยเส้นทางที่ชัน มืด เต็มไปด้วยขอนไม้ รากไม้ และ เหลือไฟฉายแค่กระบอกเดียว โดยมีรุ่นพี่เป็นคนนำทาง โอยยยย ..... เอาแรงมาจากไหนวะ เดินเร็วอิ๊บอ๋ายเลยยย เราเดินตามไม่ทันแสง น้องผู้หญิงจึงงัดกล้องดิจิตอล และรุ่นพี่อีกคนก็งัดโทรศัพท์มือถือ ออกใช้ส่อง ดู หิ..น...น.....น ตามทางเดิน..... ทุลักทุเลย และเหนื่อยแทบขาดใจ เราเดิน 2 ช.ม.ขึ้นถึงยอดภูในเวลา ตี 5 .15




เงียบสงัด ไม่มีใครขึ้นมาเลย ..... ข้างบนเป็นพื้นที่โล่ง เป็นยอดของภูเขาจริงๆ ไม่มีต้นไม้ใดๆมาบังตาเราทั้งนั้น เราจึงเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิท เต็มไปด้วยดวงดาว ที่แน่น และ สวยจริงๆ จากความเหนื่อยและหิว จึงงัดเสบียงมานั่งกินรอพระอาทิตย์ขึ้น เป็นโมเมนท์ที่หนาว ทรมานใจมาก มันเย็นยะเยือก จนไม่อยากเอามือออกจากเสื้อเลย.....พร้อมทั้งรุมประณามรุ่นพี่คนที่เร่งให้ขึ้นมา ว่าจะรีบทำไมวะเนี่ย....

6.00 เส้นขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากดำกลายเป็นม่วงครามแดง เป็นเส้นตัดท้องฟ้าที่สวยงาม แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันสวยซะจนอยากจะหยุดไว้แค่นั้นแหล่ะ....แต่เวลาก็ล่วงเลยมาเรื่อยๆ แสงเริ่มสว่างขึ้น ภูเขาแต่ละลูกเริ่มฉายตัวเองออกมาจากความมืด สลับเล่นสีกัน แต่ยังไม่ชัดเท่าใดนัก

6.30 คนเริ่มทยอยขึ้นมา มากขึ้นเรื่อยๆ มารอดูดวงอาทิตย์ขึ้นรับวันใหม่พร้อมกัน ..... ทะเลหมอก ที่ลอยสูง เริ่มเห็นจับตัวในหุบเขาเป็นหย่อมๆ แต่ก็ไม่เยอะนัก แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่ครีเอทท่าทางถ่ายรูป เพราะท้องฟ้าวันนี้มันใสเหลือเกิน ..... ถ่ายกันจน Memory เต็ม เลยเตรียมตัวลง ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย.....


ขาลง....เพิ่งตระหนักถึงความยากลำบากกับเขา 5 ลุกที่พิชิตมาเมื่อเช้ามืดนี้ “ดีและที่มองไม่เห็นทาง จะได้ไม่ท้อ” ทำไมมันชันขนาดนี้วะ....เราและรุ่นพี่ผู้หญิง ไม่รอช้า ชอบนักแหล่ะ ทางอย่างนี้ มันต้องวิ่งลง เราสองคนวิ่งกันฝุ่นตลบ แบบชินทางกันมาก ....เวลาเจอกลุ่มคนที่ลงมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องปล่อยให้เขาเดินลงนำไปซักระยะก่อน เราจึงวิ่งตามกันลงไป ถึงที่พักอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสูดฝุ่นไปหลายตลบ.....

เราเตรียมตัวเก็บของเก็บเต็นท์.....พี่คนขับรถมารอรับแล้ว หลับมาตลอดทาง ซึ่งผู้หญิงยังต้องนั่งข้างหลังเหมือนเดิม.....ตื่นมา นึกว่าถึงเมืองเชียงใหม่ อ้าวไม่ใช่เพิ่งถึงอ.ฝาง คิดเหนื่อยใจ นี่ต้องนั่งอีกตั้ง 3 ช.ม.เลยเหรอ รถไฟมา 15.40 จะทันไม๊?? นั่งหลับนั่งลุ้นมาตลอดทาง

ออกจากฝาง 12.00 ถึง เชียงใหม่ 15.20 ก็เริ่มวางแผนแยกย้าย เราก็ใจกังวล อยากได้เป๋าตังคืน รุ่นพี่คนที่โทรไปถามก็โอ้เอ้ ยึกยักจะไม่กลับ เราก็เริ่มหงุดหงิด จนเราตัดสินใจที่จะไปสถานีรถไฟคนเดียว รุ่นพี่คนนั้นก็ทักขึ้นว่า “กลับรถทัวร์เถอะ เดี๋ยวผมให้ตังค์คุณกลับบ้าน” ซักพัก ก็โยนกระเป่าตังเราออกมาจากเป้ ไอ้ ____!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เก็บไว้ตลอดเลยเหรอ แล้วก็ไม่มีใครที่ชื่อ เปิ้ล ด้วย ไอ้พี่คนนั้นมันแต่งเรื่องหลอกตลอดทาง โดยมีรุ่นพี่อีกคนสมรู้ร่วมคิดด้วย โว๊ย!!!! ทั้งโกรธ ทั้งแค้น โดนอำอีกแล้ว -_-!

เรื่องก็คือ รุ่นพี่คนนี้เห็นกระเป๋าตังค์มันตกในรถ ตอนที่เรากำลังตบตีกับรุ่นพี่ตั๊กอีกคนอยู่ เลยเก็บไว้แล้วไม่บอก

ในเมื่อกลับรถไฟไม่ทัน เราเลยกลับรถทัวร์รอบ 6 โมงเย็นกะรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคน ส่วนคนอื่นๆกลับกลับรอบทีหลัง... ที่จริงก็ไม่อยากรีบกลับเลย แต่วันจันทร์มันมีงาน และเยอะของจริง

พอมาถึง บ.ข.ส. ก็ไปล้างหน้าล้างตา ความซวยเกิดกับตัวอีกแล้ว ล้างหน้าอยู่ น้ำดันไม่ไหล โฟมก็ค้างอยู่เต็มหน้าอย่างงั้นหน่ะ บอกพี่เค้า เค้าบอกว่ากำลังเปลี่ยนปั๊มน้ำพอดี รอ 10 นาที เอ๊า! พี่ไม่ไหวแล้ว แสบหน้ามาก ขอน้ำหน่อย เขาเลยเอาน้ำจากตุ้เย้นมาให้ล้างหน้าเลย เฮ้อ รอดปายยยย......รถออก 6 โมง ถึงอยุธยาตี 4 อาบน้ำ แต่งตัว และเดินทางสู่ Office วันจันทร์

เฮ้อ .... ทำไปได้