Tuesday, October 24, 2006

สาวดอยจะไปสอยดาว

กลับมายืนที่เดิม....

ที่ที่เคยคุ้นตา....

ทำไมต้องร้องเพลงนี้หน่ะเหรอ?? ก็เพราะเรากลับมาเยือนภูเขาเส้นทางหรรษาหฤโหดอีกครั้งกับ "
ภูสอยดาว" เมื่อบอกอีกครั้ง ก็แสดงว่าเคยมาแล้ว ถูกต้องแล้วท่านผู้อ่าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วหล่ะ

ทำไมต้องกลับมาอีกหล่ะ?? ที่จริงแล้ว มันมาจากการ psycho จากเพื่อนของเราตัวหนึ่ง มันบอกมันเตรียมทุกอย่างแล้ว ถ้าเราไม่ไป มันก็อาจจะน้อยใจ จนถึงเกลียดเราได้ ...เฮ้อ! เอาวะ ไปก็ไป

คราวนี้เราไปกันตอนปลายเดือนตุลาคม โอ้!ปลายฝนต้นหนาว สิ่งที่ปิ๊งขึ้นมาทันทีคือ "ทะเลหมอก และ ทาก " เพราะเชื่อว่าระหว่างทาง ถ้าฝนตก พี่ๆชาวทากมาดุ๊กดุ๋ยๆเลอดหวานๆของช๊านแน่ๆ เราวาดฝันถึงอนาคตขางหน้าที่ใกล้จะมาถึง ฉันกะว่าจะไปคืนวันที่ลาออกจาก
aA นี่แหล่ะวุ๊ย และวันที่ 20 ต.ค. 49 ก็มาถึง จะออกวันนี้ แล้วเที่ยวกันคืนนี้เลย เหอๆๆๆ

เมื่อเวลายิ่งใกล้ ความตื่นเต้น และความโหดที่ฝังใจเมื่อตอนปีสองมันก็กลับมาอีกครั้ง คราวนั้นที่ตัดสินใจไปกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่มหาลัยและไอ้เพื่อนคนนี้อีกเหมือนกันรวมๆแล้วก็ 9 คน เพราะเชื่อในสิ่งที่เฮ็ด และเฮ็ดในสิ่งที่เชื่อว่าเราจะเห็นทะเลหมอก จึงจัดแจงเก็บกระเป๋าเดินทางโยนขึ้นรถไฟจาก


ฉึกฉัก....ฉึกฉัก...ฉึกฉัก หลับๆตื่นๆ จนมาถึงสถานีอุตรดิษถ์ ประมาณตี 5 ก็ต้องต่อรถอีก2 ต่อ เมื่อไปถึงทางขึ้นตีนภู เราก็ได้รับข่าวน่าตกใจที่มาจากปากพี่เจ้าหน้าที่ว่า...."ข้างบนไม่มีน้ำเลยนะน้อง" .... เอ่อ...จิงดิพี่ ทำไงอ่ะ ก็ต้องแบกน้ำขึ้นไปไง

มันเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่มาก เสื้อผ้าก็มาเยอะเพราะกลัวหนาว ไหนจะขาตั้งกล้อง ไหนจะกระเป๋ากล้อง และ น้ำ แถมยังเดินขึ้นอีกตั้ง 7กม. อ๊วก!!!!!!

ไม่เป็นไร เพราะกรุ๊ปนี้มีผู้ชายชาตโยโดม ม่าช่าย ชายโฉดหุ่นล่ำตั้ง 5 คน กลัวอะไร แถมผู้หญิงก็หยั่งกะคัดตัวนักกีฬามาเดินขึ้นภู เหมาะสมแล้ว "อย่าไปกลัว!!!!"

จำได้ลางๆว่าผู้ชายแบกน้ำขวดขุ่นกันขึ้นไป คนละโหล บางคนก็ครึ่งโหล ส่วนพวกเราอย่างมากก็ครึ่งโหล ก็แทบบ้าคลั่ง หลังหักกันอยู่แล้ว

เมื่อเริ่มต้นเดินทาง ก็มีน้ำตกภูสอยดาวมาต้อนรับให้เรารู้สึกชื้นใจว่าอย่างน้อยมันก็มีน้ำ แม้จะอยู่ข้างล่างก็เหอะ แค่ทางเลาะน้ำตก ก็ทำเราแฮ่กๆๆๆ พักตรงกอไผ่กันแล้ว ฮ่วย! ยังไม่ทันเดินเลย แต่พอมาถึง เนินแรกเท่านั้นแหล่ะ ชื่อว่าเนินส่งญาติ อันนี้วัดใจเลยครับท่านผู้ชม สมกับชื่อ ถ้าไม่ไหว ก็ลาญาติพี่น้องพ้องเพื่อนที่เดินทางมาด้วยได้เลย จะอะไรหล่ะ ก็เพราะว่ามันชันมากหน่ะสิ แต่เนื่องจากเราเป็นหนุ่มสาวชาวอึด จึงพิชิตเนินแรกได้ อยากบอกว่า ถ้าพิชิตเนินนี้ได้แล้ว เนินอื่นก็ไม่ต้องกลัวหรอก ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเนินอื่นสบายนะ แต่มันจะปลงไปเองว่า แสรดดดดด....เป็นอย่างงี๊ทุกเนินเลย



เราพักกันเป็นจุดๆ จุดนึงก็ห่างกันไม่เท่าไหร่หรอก (พักบ่อยนั่นเอง) โห ก็เหนื่อยนี่หน่า แบกกันมาขนาดนี้ เราพักกันเป็นกลุ่มๆ พวกผู้ชายก็เดินร่อนกันขึ้นไปแล้ว เหลือแต่พวกเรา 4 สาว four angel พักกันเหงื่อท่วมกายทุกจุด เนินแล้วเนินเล่า ตั้งแต่ ส่งญาติ .... ปราบเซียน... เสือโคร่ง และ มรณะ (น่ากลัวไม๊หล่ะ รอดมาได้ก็บุญแล้วเนี่ย)

ไอ้ตอนช่วงเนินสุดท้าย เริ่มอาการไม่ดี เหมือนท้องจะเสีย โอยย ปวดขี้ ไม่ไหวแล้ว และบันได ตรงนั้นและกอหญ้า เอาวะ ไม่ไหวและ ให้รุ่นน้องคอยดูต้นทางว่ามีคนมาหรือไม่ กรูขอปล่อยก่อนหล่ะ โอ โล่งงงงงง กำลังจะนุ่งกางเกง มีลุงลุกหาบเดินมาพอดี ! ทำไงอ่ะ ทำอะไรไม่ถูก ขอโวยวายก่อน ลุ๊ง!(เสียงสูง) อย่าเพิ่งลงมา โป๊อยู่ๆ ลุงเลยบอก โอยไม่ดูหรอกอีหนู โอยยโคตรอายเลย (และนี่มันเลยกลายเป็นตำนาน "ข้าวขี้ภู" จนถึงปัจจุบัน)

วู๊ววววว!!!! ถึงแล้ว ขึ้นตอน 10 โมง ถึงข้างบนเกือบ 6 โมงเย็น ทันเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี สวยจัง พรุ่งนี้จะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ เรานึกในใจ




พอถึงลานสน ก็ต้องเดินไปจุดกางเต้นท์ ซึ่งเชื่อว่าพวกที่มาถึงชุดแรกคงกางเตรียมไว้แล้ว อิอิ ตามทางที่เดินไป เราเห็นตรงจุดพักมีเพียง 4-5 เต้นท์เท่านั้น โห คนน้อยมาก เราข้ามลำธาร เพื่อไปนอนอีกฝั่ง ซึ่งไม่เต้นท์เลย เรากางเต้นท์ 2 เต้นท์เล็ก และ กรด ของรุ่นน้องคนนึง (มันเห็นแก่ตัว ออกไปปักกรดนอนคนเดียว แต่เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นยังไง..อิอิ)

ยิ่งมืด อากาศยิ่งเย็น จนไปถึงระดับยะเยือก เรารีบหุงข้าว ทำกับข้าว และก่อกองไฟ เพื่อบรรเทาความหนาว กินอิ่มแล้ว ก็ไม่ต้องหวังว่าจะอาบน้ำหรอก เพราะไม่มี ห้องน้ำก็แห้งเหือด เข้าไม่ไหวว่ะ เอาไว้จำเป็นจริงๆละกัน ก็นอนเน่ากันทุกคนแหล่ะ แต่ดีทีอากาศมันเย็น เลยนอนแช่แข็งไม่มีกลิ่น สบายไป อิอิ

เช้าแล้ว เราเดินตามทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ว๊าว! สดใสจังเลย ดวงอาทิตย์จ้าสว่าง เคลื่อนออกจากสันเขาของ
ภูสอยดาวในเขตลาว ดูไปก็ลุ้นไป ตื่นเต้นดี เมื่อดูเสร็จ เราก็กลับมาแปรงฟัน(อย่างเดียว พอ) เพราะพี่เจ้าหน้าที่บอกว่าจะพาขึ้นไปปีนภูสอยดาวในเขตลาวกัน จึงพึ่งตระหนักว่า เอ่อ...นี่เราเพิ่งอยู่แค่ลานสน ยังไม่ได้เหยียบยอดภูจริงๆซะหน่อย พวกเรา(แค่ผู้หญิง) ตื่นเต้น ตามติดพี่เจ้าหน้าที่ จะเดินพิชิตยอดภูให้ได้ แต่....

เวลามันล่วงเลย มาสักพัก ทำไมรุ่นพี่อีก 2 คนยังไม่มาฟระ....เดินไปตามเพิ่งจะรู้ว่า ไปหม้อสาวๆอีกกรุ๊ปนึง จะชวนเค้าขึ้นภูสอยดาวให้ได้ และแล้วตอนจบมันก็ลงเอยที่ว่า มัวแต่รอสาวๆ ทำให้สาย พี่เขาก็เลยบอกว่าคงขึ้นไม่ได้แล้ว เพราะคงลงมาไม่ทันแน่ๆ เนื่องจากเส้นทางสูงชันเป็นหน้าผา มีทั้งปีนป่าย และห้อยโหนเชือก !! ถ้าไปกันเยอะ คงเสียเวลามาก พวกเราที่เหลือ ได้แต่รุมประนามรุ่นพี่ 2 คนนั้น ที่มันทำเราเสียเวลาจนอดพิชิตภู แต่พี่เจ้าหน้าที่ก็ใจดี พาลงไปดูน้ำตกมอสกะทาทา (มุขเก่าไปป่ะ หุหุ)

ดีนะที่มีน้ำตกมอสมาย้อมใจ.... เราต้องไต่ลงทางดินที่ชันและชื้น ลื่นปรึ๊ดๆ ต้องคอยเกี่ยวต้นไม้ไว้ ไม่งั้นหน้าทิ่มลงเหวแน่ เราลงไปลึกมากกก จนไม่อยากคิดถึงขาขึ้นเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร ที่เราลงไปก็เป็นบริเวณหินที่เคยมีน้ำตกไหลผ่านตอนหน้าน้ำ แต่ตอนนี้มันเหลือแต่หินเคลือบมอสสีเขียวเข้ม และโปรยหน้าด้วยใบเมเปิลสีแดงสด อืมม สวยว่ะ อยู่กันตรงนั้นซะทาน ก็ถึงเวลาปีก 555 ไม่ต้องมีคำบรรยาย มันเป็นดังคาด โอย โคตรเหนื่อยเลย

เรากลับมานอนเล่นพักผ่อนกันในเตนท์ เพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน 5 โมงกว่าแล้ว เราตื่นขึ้นมา เพื่อให้รูปสวยที่สุด นอกจากฉากหลังสวยแล้ว นางแบบทั้ง 4 ยอดกุมาร (จาก angel เป็น กุมาร ไปแล้ว) ต้องสวยด้วย จึงหยิบเครื่องสำอางค์ เท่าที่มี มาแต่งหน้าเด้งกันใหญ่ จนลืมเวลาว่า เฮ๊ย! จะหกโมงแล้ว เรา4คน รีบกุลีกุจอ ออกจากเต้นท์ วิ่งแบกกล้องกัน ฮึ๊บๆๆๆๆๆ ..... อ๊ากกกก เห็นแล้ว ต้องวิ่งขึ้นเนินอีก เอ้าอีกอึดใจเดียว จะตกแล้ว จะตกแล้ว และ ตกไปแล้วววว......ไม่ทัน! มันตกไปแล้ว ทำไงอ่ะ เอาวะ ถ่ายตอนแสงนัวๆอย่างนี้แหล่ะ ยังไงก็ต้องเก็บบรรยากาศไว้ก่อน แชะ แชะ แชะ ... แล้วก็เดินลงกลับมาทำกับข้าวอย่างสิ้นหวังหมดแรง แต่ก่อนจะจากไป เราหันกลับไปถ่ายรูปท้องฟ้า โดยมีกลุ่มพี่ๆคนใต้ยังยืนอยู่ ปรากฎว่ามันคือภาพซีลูเอด สวยงามมาก ตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกับผลงานกันใหญ่ เหอๆๆๆ

คืนนี้ มันช่างหนาวอะไรอย่างนี้.... เรากินข้าวไป ก็สั่นไป กินไปกินมา เกิดไอเดีย ตลกแดกอีกแล้ว จึงส่งเพื่อนหน้าตาดีไปแลกกับข้าว กับกลุ่มเต้นท์พี่คนใต้ที่มากางใกล้ๆกับเรา เหอๆๆๆ ไม่ต้องกินแต่ไข่กับผักแล้วโว๊ย ก็เพราะเราได้ทั้งแกงส้ม หมูยอ ลูกชิ้น มาหน่ะสิ.... ยังไม่พอ พี่เค้าเดินมาเพิ่มให้เองด้วย โอยย ขอขอบคุณน้ำใจ...ที่ไหลมา สู่ปักษ์ใต้บ้านเรา ... ใจดีจริงๆ

เมื่อหนำใจกับกับข้าวเหลาแล้ว เราก็นั่งย่อย โดยมีพี่เจ้าหน้าที่มานั่งคุย พร้อมเอาน้ำใสสีขาวมาด้วย เนื่องจากปริมาณน้ำร่อยหลอ จนเหลือเพียง 2 ขวด จึงกะว่าจะอาสัยน้ำเปล่าที่พี่เค้าถือมากินแทน พี่เค้าเทใส่ฝาขวดให้ 1 ฝา เราก็สงสัยว่าทำไมให้น้อยจัง น้ำมันขาดแคลนขนาดนี้เลยเหรอ แต่ก็ไม่เป็นไร กรึ๊บ! อ๊วกกก โอ๊กกกกกกกก แอ๊กกกกกกก โอยยย แสบร้อนไปหมดเลย ๆๆๆๆๆๆ อะไรอ่ะ และนี่ก็คือ "ตำนานเสียงหมูป่า"ของ
ภูสอยดาว

ฮึ่ย! เหล้าเหรอวะ ร้อนคอมาก แสบคอสุดๆ อื่มมม ก็อุ่นดีนะ อิอิ....แต่ไม่ไหว ตอนนั้นกินเหล้าไม่เป็น (อูวว "ตอนนั้น" แต่ ตอนนี้คงไม่แล้ว อิอิ)

ดึกพอสมควรแก่กาลเวลา ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีมืดสนิท แสงไฟที่เห็นก็มีเพียงกองไฟที่สุมให้เราอุ่นเท่านั้น ที่เหลือคือความมืดสนิทของท้องฟ้า ตัดกับลำแสงสว่างของดวงดาวนับล้าน เยอะจริงๆ เยอะมากๆ ท้องฟ้าเดียวกัน แต่มองจากที่นี่มันอัดแน่นไปด้วยดวงดาว ไม่รออีกต่อไปรีบปูผ้านอนเรียงนับดาวกัน ตกทีก็ตื่นเต้นที แต่เนื่องจากดาวมันตกเยอะมาก เลยเริ่มหมดแรงนับ หนาวก็หนาว แต่พอมานอนเบียดๆกันก็อุ่นดีนะ คลื่นทะเลดาวยิ่งดึกก็ยิ่งเปลี่ยนทิศทาง เสียงลมพัดต้นสน ยิ่งช่วยเสริมว่าอยู่ท่ามกลางคลื่นที่กำลังซัดฝั่งจริงเลย อู๊ย จะมีความสุขอะไรขนาดนั้น เรานอนดูดาว และ happy new year กันตรงนั้น เท่ป่าวหล่ะ

ผวาตื่นขากภวังค์ นั่งน้ำลายยืด.... เฮ๊ย บ่าย 3 แล้ว ! ต้องรีบออกจาก aA ที่ปราจีน เพื่อกลีบบ้านมาเอาของแล้วขึ้นรถไฟไปพิษณุโลก ที่ที่เรานัดหมายกับเพื่อนอีก 11 คน ที่ติดต่อผ่านรุ่นพี่ที่เคยไปค่ายอนุรักษ์ด้วยกันมา



เมื่อต่างคนต่างขึ้นรถไฟ โดยมีเราขึ้นที่สถานีอยุธยาเป็นคนสุดท้าย ปรากฎว่า จองที่ไม่ได้ จึงต้องนั่งแยกที่กัน แต่ก็ไม่ถึงกับไกลมาก แต่ที่แย่ก็คือ มันนอนไม่ได้ เราต้องนั่งบิดไปบิดมา ยกขา เท้าแขน เปลี่ยนท่า จนเป็นกายกรรมเปียงยางไปแล้ว

8.00 รถไฟถึงพิษณุโลก จึงโทรหาอีกกลุ่มที่นัดไว้ เป็นกลุ่มอนุรักษ์นก ชนก. จาก ม.เกษตร กำแพงแสน และผู้ติดตามรวม 11 คน เยอะแฮะ เมื่อแนะนำตัวทำความรู้จักกันแล้ว ก็แยกย้ายกันซื้อเสบียงกันที่ตลาดหน้าสถานี

9.00 เริ่มออกเดินทาง โดนนั่งรถสองแถวไปจนถึงตีนดอย ก็ดีนะ เปลี่ยนเส้นทาง แล้วก็สบายเพราะนั่งรถแค่ต่อเดียวก็ถึงตีนดอยที่จะเริ่มเดินทางขึ้นเลย

11.00 ถึงจุดที่ทำการอุทธยาน เราติดต่อจ้างลูกหาบของใช้ส่วนกลาง (สบายแล้วเรา) อิอิ ซื้อข้าวกล่องไว้เตรียมกินระหว่างทาง และก็ไม่แบกเสื้อผ้ามาเยอะอีกต่อไป เนื่องจากมีประสบการณ์อันเลวร้ายจากครั้งที่แล้ว ใส่ซ้ำๆกันหน่ะแหล่ะ อย่าไปคิดไรมาก


เที่ยงเวลา ได้ฤกษ์ออกเดินทาง ว๊าว น้ำแรงดีแฮะ เสียงน้ำตกไหลซ่าเสียงดัง เรียกกำลังใจฮึกเหิม เราเดินนำก่อนคนแรก เพราะกลัวช้า ส่วนคนอื่นก็เดินศึกษาต้นไม้ สัตว์ แมลง ตามริมทางเดิน ทำให้ต้องหยุดเป็นระยะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะพวกนี้เขาเรียนเกี่ยวกับพวกนี้โดยตรง มาคราวนี้ได้เที่ยวแล้วยังได้ความรู้ด้วยนะเอ้อ!

เส้นทางเก่าๆ ภาพเดิม เนินหฤโหด มันกลับมาประจันหน้าอีกครั้ง แม้ว่าสังขารจะเริ่มล้า และไม่ค่อยจะฟิต เหมือนสมัยนู๊นนน (นานเนอะ) แต่กำลังใจเพียบ เพราะเพื่อนๆ เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันดีมาก ชิวค่าชิว เดินไปเหนื่อยก็พัก ถ่ายรูปกันหนุกหนาน จากกลุ่มแรก กลายเป็นกลุ่มสุดท้าย (อีกแล้ว) ถึงข้างบน 5 โมงกว่า โอว เดินเร็วมากเลย คิดไปคิดมาเร็วกว่าตอนนั้นเยอะ (ก็เรามีลูกหาบช่วยแล้วนี่) ถึง ก็นั่งรอพระอาทิตย์ตกแบบสบายๆ ถ่ายรูปเพลินๆ ติดนิสัย ถึงช้าๆ ได้ข้าวได้ปลาตรงหน้าทันที (แหะๆ ไม่ดีนะคะ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ผู้ใหญ่ควรแนะนำ)

พระอาทิตย์ตกแต่ไม่เห็น เพราะเมฆบัง เราเลยเดินกลับที่พัก กรี๊ดๆๆๆๆ ทำไมคนเยอะอย่างนี้ อย่างกะ party บน
ภูสอยดาว เต้นท์นี่แทบจะเบียดทับกันอยู่แล้ว คราวนี้เราเลยต้องกางเต้นท์กันหน้าบ้านพักเจ้าหน้าที่ โดยกางกันเป็นซุ้มวงกลม แล้วเอาผ้าใบปูเป็นหลังคาตรงกลาง (แต่เขากางให้แล้วหล่ะ รู้สึกผิดเล้กน้อยที่ไม่ได้ช่วย)

เมื่องานกางเต้นท์ไม่ได้ทำ ผู้หญิงแม่บ้านอย่างเราก็ต้องช่วยเขาทำกับข้าว แต่เนื่องจากเขามีแม่ครัวแล้ว เราเลยอาสา แบกน้ำ โดยไปตักจากบ่อลำธารที่เขากักเอาไว้ให้หน้าห้องน้ำ โดยเอาน้ำมาไว้ล้างจาน ได้เวลาลงมือกิน อากาศเริ่มหนาว พื้นที่เล็ก เราจึงมานั่งเบียดกันกินข้าว โดยนั่งหันข้างกินกัน อร่อยและสนุก สรุปว่าเราเข้าขากันได้ดี เฮฮาๆ และนัดกันว่าคืนนี้จะไปนอนดูดาวกันแหล่ะ แต่ก่อนไป เมื่อมันมีน้ำแล้ว ก็ต้องอาบแหล่ะวุย เราอาบน้ำเย็นซู่ซ่ากันสนุกสนาน ออกมาก็สบายๆ ไม่หนาวมากเท่าไหร่

จากนั้นเราออกไปนอนดูดาวกัน นอนนับดาวกัน นอนได้ไม่นานก็กลับมานอนดีกว่า เก็บแรงไว้ดูพระอาทิตย์ขึ้นวันต่อไป ตี 5 นาฬิกาดัง หนาวมากและเพลีย เพราะไม่ได้นอน เลยขอบายไว้ดูวันพรุ่งนี้ละกัน เรา 4 คนขอตื่นสาย ออกมาเขาก็ทำกับข้าวเสร็จอีกแล้ว (เฮ้อ ไม่เข้าใจจริงๆ เราเห็นแก่ตัวมากไปป่าวเนี่ย) จึงรีบจัดแจงไปตักน้ำ มาล้างจานเหมือนเคย เพราะกลัวไม่มีหน้าที่แล้วเอาเปรียบเค้า

และคราวนี้ก็ต้องผิดหวังกับการพิชิตยอดดอยอีกครั้ง เพราะกฎอัยการศึก ห้ามเข้าเขตแดนลาว จึงห้ามขึ้นทั้งยอด
ภูสอยดาว และ ลงไปน้ำตกมอสทาทา จึงได้ไปแค่น้ำตกสายธารทิพย์ ก็ลงไปลึกพอสมควร แต่ทางไม่ทรหดเท่าน้ำตกมอส เราขึ้นมาทั้งหมด ยกเว้นเพื่อนอีก 2 คน รอนานแล้ว มันไม่มาสักที เลยเดินไปถ่ายรูปเล่น แล้วไปนอนพักผ่อนที่เต้นท์ เอ มันทะแม่งๆ หรือไอ้เพื่อนคนนี้มันจะเกิดตำนานรักภูสอยดาวรอบสอง จากที่รอบแรกที่ไปกะมัน ก็เกิดความรักระหว่างมันกะรุ่นพี่คนหนึ่ง

แล้วก็จริงดังว่า ไอ้สองคนนี้พอมันลงมา ก็คบเป็นแฟนกันเลย หลุดโสดไปอีกคนค่ะ เพื่อนดิฉัน .... เหลือแต่เราเศร้าเดียวดายยยยย ฮือๆๆๆๆ

เราออกไปเดินเล่นตอนบ่าย แล้วก็เตรียมพร้อมดูพระอาทิตย์ตกอย่างเต็มที่ แต่งหน้าเตรียมไว้เลย หุหุ (เรื่องความงาม มันห้ามไม่ได้จริงๆ) แล้วก็เกือบจะประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เนื่องจากรอหลายคน เลยช้า เราวิ่งกันเป็นขบวนกลองยาว เฮขึ้นเนินเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก เร๊วๆๆๆๆๆ เสียงเร่งจากข้างหลังให้รีบวิ่ง มีหลุม มีบ่อก็ไม่สนแล้ววุ๊ยงานนี้ อึ๊บ! ว๊าว พระอาทิตย์ตก ทันจนได้ ช่างโรแมนซ์ อะไรขนาดนั้น สุขสุดๆ อิ่มใจได้เห็นแสงสุดท้ายของวัน เราถ่ายรูปกันอย่างหนุกหนาน ก็กลับมาทำกับข้าว

กินข้าวเสร็จ ก็แยกย้ายไปอาบน้ำ แต่เนื่องจากคนเยอะมาก เลยตัดสินใจเราผู้หญิง 3 คน จะอาบน้ำร่วมสาบานกัน เดินเข้าไปหาถังมารองน้ำ ๆได้มา 4 ใบ อาบ 1 คนต่อใบ และเหลืออีกใบเอาไว้สำรอง

ซ่า!!.....น้ำที่หล่นจากขันแรก มันน่ารักน่าลุ้นอะไรขนาดนี้ โอยยยย เย็นนนนน ขันแรกผ่านไป เราอาบไปก็ขำไป เพราะห้องที่เรายืนโป๊กันคนละมุม มันมีรูเต็มไปหมด แสงไฟฉายส่องผ่านมาทีนึง (รู้ว่าไม่มีใครมาแอบดูหรอก) ก็เห็นอะไรแวบๆ ของเพื่อนทีนึง แต่ไม่กล้าดูเต็มๆ เพราะเดี๋ยวจะฝันร้ายซะก่อน

อาบเสร็จสบายตัว ก็เตรียมตัวไปนอนดูดาวกันต่อ คราวนี้ ไม่ดูเฉยๆ ดูไปเล่าเรื่องผีไป บรึ๊ยยย!! น่ากลัว กลับมานอนดีกว่า คืนนี้เรานอนสบาย เพระไปเช่าผ้านวมมาห่ม (ทำไมคืนแรกไม่เช่าฟระ นอนหนาวไร้ผ้าห่มกันซะงั้น) นอนหลับอุ่นสบาย แต่ไม่นานก็ต้องตื่น

ตี 5 เสียงนาฬิกามือถือดังระงมเต๊นท์ บังคับ 15 ชีวิต จงตื่น จงตื่น จงตื่น เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ด้วยความที่เรามีประสบการณ์กับเพื่อน เพราะเคยมากันแล้ว อีก 13 ชีวิตมันจึงฝากความหวังว่าเราจะพาไปถูกที่

เราตัดสินใจไม่เดินตามแผนที่ที่ชี้ไปจุดดูพระอาทิตย์ เราเชื่อในเส้นทางที่เคยเดิน แต่เส้นทางมันเปลี่ยนไปแล้ว เรายิ่งเดิน ก็ยิ่งไม่แน่ใจ ทุกคนเลยตัดสินใจกลับไปตามแผนที่ ไปยืนดูกันที่ท่อนไม้ และสุดท้ายเราก็ไม่เห็นอะไร เนื่องจากเมฆหนาและคลุมเขาทั้งลูก แสงเลยส่องไม่ไหว แห้วไปตามระเบียบ

เดินกลับมาเก็บเต้นท์เตรียมตัวลงอย่างรวดเร็วด้วยการวิ่งประชดทางชันที่ทำชั้นเดินขึ้นแทบไม่ไหว เมื่อลงมาถึงข้างล่าง รู้สึกเจ็บทั้ง ขา เข่า และ เท้าเป็นอย่างมาก (สมน้ำหน้า ใครให้แกวิ่ง!!) ไม่รอช้า น้ำตกอยู่ข้างหน้า รีบมาเก็บของ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปต่อแถวสระผมในน้ำตก ปีนท่อนไม้กระโดดกันอย่างหนุกหนาน เฮ้อ สบายจายและตัว

4 โมงเย็น หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเสร็จ ก็จ้างรถลงไปตัวเมืองพิษณุโลก ได้เวลาแยกย้ายกลับบ้าน ระหว่างทาง พวกเราก็งัดเพลงเด็ดมาดวลกัน จนถูกคอ และเพิ่งรู้ว่า เป็นพวกเดียวกันเลยร้องกันเสียงแหบ จนถึงตัวเมืองตอนเย็น รีบมาดูที่สถานีรถไฟ รถออก 19.05 นี่ก็เหลือแค่ 15 นาที เราจึงแยกย้ายกับเพื่อนๆที่ต้องกลับ aA แล้วนั่งรถไฟมากับพวกกำแพงแสน ถึงบ้านตี 2 นอนสบาย เตรียมตัวทำงานที่ใหม่ต้นเดือน

ดีจัง ทริปนี้ มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นตั้งหลายคน แล้วก็เป็นกลุ่มที่ดูสัตว์ ดูพืชเก่ง แถมแนวเดียวกัน

เราว่า...มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นได้เสมอ