เช้าวันหนึ่ง ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่พูดถึงการทุจริตในสุวรรณภูมิ ทุจริตกันตั้งแต่ถมทราย ถมดิน เทปูน โครงสร้างเหล็ก สายไฟ ท่อน้ำ รถเข็นสัมภาระ พื้น เพดาน สุขภัณฑ์ โรงแรม เก้าอี้พัก งบประมาณรักษาความปลอดภัย งบทำความสะอาด งบประมาณซ่อมแซมดูแล งบประมาณแสนล้านละลายจนในที่สุดอาจต้องย้ายกลับไปดอนเมือง ในที่สุดเราก็ได้สนามบินที่น่าอับอาย หน้าโง่ กระจอกๆ ประจานสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ขึ้นลงสนามบินแห่งนี้ ทุกวัน ทุกคืน
จากนั้นผมก็เริ่มคิด…คิด…คิดง่ายๆ ว่า คำถามคือ ใครเป็นคนทุจริต คำตอบคือ คนบางคนที่มีส่วนพัวพันในรัฐบาลชุดที่แล้ว ดตส. กำลังตรวจสอบว่ามีใครบ้าง แล้วอยู่ดีๆ ผมก็หัวเราะขึ้นมาคนเดียว…ก็มันตลกนี่ครับ ลึกๆ แล้ว ผมว่าคนที่โกงจะต้องเป็นคนที่เก่งเรื่องการเงิน เรื่องบัญชี เรื่องเศรษฐศาสตร์ เรื่องกฎหมาย และคนพวกนั้นต้องเป็นคนฉลาด แต่ลึกๆๆๆ ลงไปยิ่งกว่านั้น ผมกลับคิดว่าพวกเขาเป็นคนที่โง่มาก เพราะอะไรเหรอครับ เพราะว่าเรื่องเงิน เรื่องบัญชี เรื่องเศรษฐศาสตร์ เรื่องพวกนั้นส่วนใหญ่จะคำนึงถึงเรื่องเงินเป็นหลัก แต่คุณอย่าลืมว่า เงินเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เราเกิดมาเป็นคน เราต้องการอะไร ถ้าไม่ใช่ความสุข
คนที่โกงเอาเงินของประชาชน เงินบริสุทธิ์ เงินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของคนไทยทั้งประเทศ เอามาเป็นของตัวเอง พวกเขาคงคิดว่า เขากำลังทำธุรกิจที่ไม่ต้องมีต้นทุน ก็ไม่ต้องทำอะไร โกงอย่างเดียวก็ได้เงินมาแล้ว ผมถามจริงๆ พวกคุณแน่ใจหรือว่าไม่ต้องเสียต้นทุน? งั้นเรามาดูกันว่าต้นทุนที่ว่านั้นคืออะไร
ก็เริ่มจากเมื่อไอ้คนที่โกงเพราะว่ามันอยากได้เงิน อยากมีความสุข อยากรวยแบบด่วนได้ อยากได้เงินที่ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นของประชาชน คนที่โกงมันก็กลัว ระแวงว่าใครจะจับได้ ก็ต้องสร้างหลักฐานปลอม ล็อบบี้ เจรจาหาคนมาร่วมด้วย หาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย หลบหลีก หนีความผิด ยิ่งพอเปลี่ยนรัฐบาลที เปลี่ยนขั้วอำนาจที ก็หนาวขี้ ลนลาน ติดต่อคนโน้นคนนี้ให้วุ่นวายไปหมด ยัดเงินยัดทองปิดปากกันแหลกลาน และยิ่งโทรศัพท์ดังตอนดึกๆ ก็ระแวง เมื่อคนโกงมารวมตัวกัน มันก็โกงกันไปโกงกันมา โกงกันเอง ยิ่งโกง ก็ยิ่งระแวง กลัวโดนฆ่า ก็ไปหาซื้อรถกันกระสุนมาใช้กัน จะไปไหนมาไหนคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องจ้างบอดี้การ์ดเต็มไปหมด โกงมากๆ ก็เริ่มเครียด กลัวคนจับได้ กลัวติดคุก ก็เลยต้องโกหก คราวนี้หลักการในการโกหกคือ เมื่อคุณเริ่มโกหกเรื่องแรก คุณก็จะต้องโกหกเรื่องที่ 2 3 4 5… ไปไม่สิ้นสุด โกหกมากๆ ต้องใช้ความคิด ใช้สมองเยอะ ก็เริ่มสับสน เริ่มเครียด พูดอะไรก็ต้องระมัดระวัง คุยกันก็ต้องแอบๆ ซ่อนๆ เสียงเบาๆ ลุกลี้ลุกลน กลัวคนดักฟัง จะไปร่วมธุรกิจดีๆ กับคนดีๆ ก็ไม่ได้ เพราะคนดีส่วนใหญ่เขาเป็นคนฉลาด เขารู้ เขาไม่เป็นหุ้นส่วนกับคนโกงๆ สุดท้ายก็ต้องทำธุรกิจกับพวกเดียวกัน ชั่วเหมือนๆ กัน ทำธุรกิจด้วยความระแวงซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็ฉิบหายอีก พอได้ข่าวว่าเปลี่ยนขั้วอำนาจก็ซวย กลัว หันหน้าไปหาใครก็ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครอยากซวยไปด้วย จากนั้นครอบครัวก็เริ่มไม่มีความสุข ผัวโกง เมียเครียด ลูกเครียด เมียที่ร่ำรวยจากการโกงของผัวและลูกที่ร่ำรวยจากการโกงของพ่อ อยู่ในสังคมชั้นสูง มีหน้ามีตา ก็เริ่มเครียด กลัวว่าสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองมีอยู่ในวันนี้จะหายหมดไป กลายเป็นความฝัน
มันโหดร้ายมากนะครับ ที่มีเงินร้อยล้าน พันล้าน อยู่ดีๆ แล้ววันรุ่งขึ้นมันหายไปเฉยๆ กลับคืนเป็นสมบัติของแผ่นดิน จนกระทั่ง เมียอาจจะฆ่าตัวตาย ลูกที่น่ารักทั้งหลายอาจจะต้องติดยา และเมื่อเวรกรรมมันเดินทางมาหาแบบติดจรวด เมื่อถึงเวลานั้น เงินสักพันล้าน หมื่นล้าน มันก็ช่วยคุณไม่ได้ กรรมเป็นผลจากการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าคุณปลูกต้นมะม่วง มันจะไม่ออกผลเป็นทุเรียนหรอกครับ คุณเอาเงินของใครเขาไป สักวัน มันจะต้องกลับคืนมาเป็นของคนคนนั้น ไม่ช้าก็เร็ว น่าเสียดาย ที่คนพวกนั้นเก่งเรื่องช่องว่างของกฎหมาย เรื่องการเงิน เรื่องบัญชี แต่สิ่งที่เขาพลาด ไม่ได้ศึกษา และเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพุทธศาสนา ลองคิดดู ถ้าพวกเขาเป็นคนสุจริตทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชนจริงๆ เขาอาจจะไม่เครียด เขาจะมีความสุข ลูกเมียก็จะภูมิใจ ไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น โลกสว่างสดใสทุกวัน สมองแจ่มใส ไร้โรคภัย สุขภาพจิตดี มีปัญญา ใครพบ ใครเจอ ใครก็อยากรู้จัก อยากร่วมงาน อยากทำธุรกิจด้วย เวลาจะพูดอะไรก็พูดได้อย่างเปิดเผย จะพูดสิบครั้ง ร้อยครั้ง ก็พูดได้เหมือนเดิม เพราะเขาพูดความจริง เดินตัวเบาสบาย ไม่ต้องแบกต้นทุนของการทำเลว ทำชั่ว ผมอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น อ่านข่าวการแก้ต่างของทนายฝ่ายคนโกง อ่านไปก็หัวเราะไป หึ…หึ…หึ… เฮ้อ! ทำไมพวกแม่งโคตรโง่หยั่งงี้ก็ไม่รู้
ที่มา: นิตยสาร สารกระตุ้น ฉบับที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550
No comments:
Post a Comment