คนทุกคนเวลาไปเที่ยวตามที่ต่างๆ มักจะมีเรื่องที่น่าตื่นเต้น ผมก็เหมือนกันครับ เมื่อเมษายนหลังจากที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งปีผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น เรื่องที่น่าตื่นเต้นของผมมีอยู่หลายเรื่อง ได้แก่ สีของดอกซากุระที่บานสะพรั่งตัดกับสีดำของพื้นถนน, การขึ้นรถไฟใต้ดิน, ภาษาที่แตกต่าง, อาหารญี่ปุ่นที่อร่อยมากๆ ทัศนียภาพของเมืองเกียวโตที่สวย สะอาด ถึงสะอาดมาก จนผมอยากก้มลงไปเลีย ยังไม่นับทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำที่สวยเหมือนภาพเขียน จนคนไทยหน้าโง่อย่างผมอยากแก้ผ้ากระโดดลงไปเล่นน้ำ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของผม เรื่องนั้นเกิดขึ้นที่วัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองเกียวโต ตอนนั้นมีการซ่อมทางเดินเล็กๆ ภายในวัด ผมเห็นช่างซ่อมพื้นกำลังเรียงหินทำเป็นถนนโดยมีดินดำอัดอยู่ในช่องว่างระหว่างหิน ตอนที่ผมไปถึง ทางเดินนั้นเกือบเสร็จเรียบร้อยเหลือเพียงก้อนหินไม่กี่ก้อน ที่คนงานคนหนึ่งกำลังตัดสินใจว่าจะเอาหินขนาดเท่าฝ่ามือเหล่านั้นยัดใส่ลงไปอย่างไร การเรียงหินทำเป็นพื้นถนนไม่ง่ายครับ เนื่องจากก้อนหินมีรูปทรงอิสระ และหิน ั้นเป็นหินจากธรรมชาติ สีต้องดำใกล้เคียงกันและองค์ประกอบของการวางจะต้องมีจังหวะจะโคน ผมยืนดูคนงานคนนั้นที่พยายามจะเอาหินปูลงไปบนพื้นถนน เค้าวางแล้ววางอีก เล็งแล้วเล็งอีก เป็นเวลากว่าสิบห้านาที ถ้าเป็นคนงานบ้านเราคงโดนผู้รับเหมาด่าแน่ๆ เชื่อมั้ยครับ สิบห้านาทีผ่านไป เค้าก็ยังเลือกหินอยู่ เก้ๆ กังๆ เล็งแล้วเล็งอีก ทันใดนั้น! เรื่องตื่นเต้นก็เกิดขึ้น หัวหน้าคนงานท่าทางล่ำสันกำลังเดินตรงมาที่คนงานคนนั้น ผมคิดอยู่ในใจ โดนแน่ๆ หมอนี่ต้องโดนแน่ๆ ผมเกือบจะเดินออกไปเพราะไม่อยากได้ยินคนทะเลาะกัน ด่ากัน ยิ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วคง งง พิลึก แต่ภาพที่ผมเห็นกลายเป็นว่าหัวหน้าคนงานย่อตัวลงปรึกษากับคนงานคนนั้น ทั้งคู่ช่วยกันเลือกหินที่ดีที่สุด สวยที่สุด ลงใส่ที่ว่างของพื้นถนน เพื่อให้ถนนเล็กๆ ในวัดเล็กๆ แห่งนั้นสวยที่สุด เป็นเวลากว่าสามสิบนาทีที่ทั้งคู่เลือกหินได้แล้วใส่ลงบนพื้นถนนในวัด เชื่อมั้ยครับว่าถนนเล็กๆ เส้นนั้นสวยมาก มีระเบียบ มีศิลปะ สวยเหมือนถนนเกือบทุกที่ในญี่ปุ่น
*************** ***************
ในระหว่างที่นั่งเครื่องบินกลับมาเมืองไทยมีคำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวของผม ทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่สวยงามมาก? เป็นเพราะว่าญี่ปุ่นต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติต่างๆ อันเลวร้าย จึงต้องเรียนรู้วิธีป้องกันและเอาตัวรอดให้ได้ ภัยธรรมชาติต่างๆ มีมากมาย สึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด โหดๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นมีชีวิตอยู่จึงต้องเป็นเวลาที่มีค่า และควรมีความสุขที่สุด? สิ่งที่คนญี่ปุ่นทำคือรักษาสิ่งที่มีอยู่ รักษาธร มชาติที่สวยงามให้อยู่กับตัวเองและลูกหลานได้นานที่สุด ทุกลมหายใจของคนญี่ปุ่น สิ่งที่ทำต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การจะสร้างตึกแต่ละตึกคิดแล้วคิดอีก คิดเรื่องสิ่งแวดล้อม คิดเรื่องวัฒนธรรม คิดเรื่องทัศนียภาพ ผมแปลกใจว่าทำไมเวลาคลื่นยักษ์ที่เรียกว่าโลกาภิวัฒน์ พัดพาไปประเทศญี่ปุ่น ประเทศนี้โดนผลกระทบน้อยมาก คำตอบ อาจเป็นไปได้ว่า ศาสนาเซน และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นหยั่งรากลึก แผ่กระจายยึดแผ่นดินไว้อย่างแน่นหนา ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ปิดอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทร สิ่งสำคัญที่เค้าเรียนรู้ คือ การเรียนจากตัวเอง เรียนรู้มานับหลายร้อยปี นั่นหมายถึงว่า ก่อนที่จะรับวัฒนธรรมอื่นเข้ามาในประเทศ เค้ารับในช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเค้าแข็งแรงแล้ว จึงกลายเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์ สิ่งที่เราทำกับประเทศเรามาเป็นเวลาช้านานคือการตัดรากของวัฒนธรรมแบบเงียบๆ เริ่มจากระบบศักดินา ดูถูกคนที่เป็นชาวบ้าน ดูถูกภูมิปัญญาของเราเอง ใครโง่ๆ ก็เรียกว่าไอ้ควาย ทั้งที่ควายทำนาเลี้ยงข้าวให้เรากิน (ผมท้าไอ้คนที่ด่าด้วยว่าถ้าให้ไถนาแข่งกับควายแม่งทำไม่เป็น) ละคร นวนิยายต่างๆ ล้วนแต่ยกย่องส่งเสริมและพูดถึงชนชั้นสูงทั้งสิ้น โดยเนื้อหาของละครหรือนวนิยายส่วนใหญ่น้อยเรื่องมากที่จะบอกว่าชาวนาหรือชนชั้นส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นผู้ชนะ ส่วนมากจะสะท้อนให้เห็นถึงความรันทดอดอยาก หิวโหยและต้อยต่ำ ปลูกฝังกันมากๆ เข้า ช่องว่างระหว่างชนบทและเมืองก็ยิ่งห่างกัน ทั้งๆ ที่องค์ความรู้ส่วนใหญ่ของประเทศ ความเฉลียวฉลาด ภูมิปัญญา เช่น เวชศาสตร์ สถาปัตยกรรม วัฒนธร ม ปรัชญา ฯลฯ อยู่ในชนบททั้งสิ้น ประวัติศาสตร์ชนชาติเราไม่เคยบันทึกวิถีชีวิตของไพร่ แถมชนชั้นนำของประเทศก็ยังชื่นชมตะวันตก เห็นฝรั่งเป็นพระเจ้า และด้วยการปกครองของประเทศ ถ้าอยากให้ปกครองกันง่ายๆ มีเคล็ดลับก็คือว่า ต้องทำให้คนในประเทศนั้นโง่และอ่อนแอ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ในการปฎิวัติที่กัมพูชาและมีการฆ่าล้างเผ่า 1000 คนที่จะถูกนำไปฆ่ากลุ่มแรกๆ ก็คือพวกปัญญาชนทั้งหลาย พูดง่ายๆ ก็คือปัญญาชนคนฉลาดจากชนบทถูกกีดกันไปจากประเทศนี้ เมื่อคนโง่ไม่มีความรู้พูดอะไรก็เชื่อ ปัญญาชนคนมีความคิดจะนำเสนอหรือพูดอะไร ก็ล้วนแล้วแต่เจอแรงเสียดทานจากอำนาจทั้งนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่โง่ยังไม่พอ ทำให้คนดีท้อแท้อีก ภูมิประเทศของกรุงเทพฯ ควรจะเป็นคลองก็ทำเป็นถนนมันซะ เมื่อก่อนชุมชนต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วประเทศจะมีวัดเป็นศูนย์กลาง เป็นโรงเรียน เป็นที่ยึดเหนี่ยวก็เปลี่ยนไป ส่วนกลางเข้าแทรกแซง ทำลายรากและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ย่อยยับ ด้วยการทำให้ระบบการศึกษาเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งๆ ที่วัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ต่างกัน บ้านทรงไทยแถวอยุธยาทุกบ้านจะมีใต้ถุนเพราะน้ำท่วมถึงอยุธยาทุกปี พอน้ำท่วม ใต้ถุนบ้านกลายเป็นท่าเรือ ใช้พายเรือไปมาหากันระหว่างบ้าน พูดง่ายๆ เค้ารู้อยู่แล้ว ่าน้ำต้องท่วมทุกปี เวลาน้ำมาทุกครั้งจะพัดเอาอินทรียสารที่มีประโยชน์ต่อดินเข้ามาด้วย อยุธยาจึงอุดมสมบูรณ์ แต่ตอนนี้เราสร้างเขื่อน เราสร้างบ้านจัดสรร น้ำท่วมที เศร้าที สมุนไพร ตำราเวชศาสตร์โบราณขาดการสานต่อ หันไปใช้ยาสมัยใหม่ ทั้งๆ ที่ของเราดีกว่าเยอะ ร้านโชห่วยเล็กๆ ที่เคยยึดเหนี่ยวคนในชุมชนก็ตายไปด้วยซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ บทสนทนาในร้านค้ากลายเป็นบทท่องจำ เข้าไปสิบครั้งพูดเหมือนเดิมทั้งสิบครั้ง จนมาถึงสมัยนี้ประชาชนคนไทย เด็กๆ สมัยใหม่เหลียวซ้ายแลขวาหาความเป็นไทยไม่เจอ กลายเป็นคนเลื่อนลอย เจออะไรเท่ เก๋ ก็ยึดเอาไว้ก่อน รู้มั้ยครับ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่นิยมส่งลูกไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ เด็กๆ ที่เรียนจากโรงเรียนนานาชาติ เค้าไม่ได้รู้สึกว่าเค้าเป็นคนไทย กลายเป็นคนพูดไทยไม่ชัด กลางเป็นสังคมอีกสังคมหนึ่งในเมืองไทย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การพูดไทยชัดไม่ชัดแต่อยู่ที่จิตวิญญาณต่างหาก จิตวิญญาณของไทย ของประเทศล่องลอยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เมื่อต้นไม้ไม่มีรากแล้วลำต้นจะอยู่ได้อย่างไร ใบไม้จะอยู่ได้อย่างไร ถ้ามีภูมิปัญญาชาวบ้านและจิตวิญญาณของความเป็นไทยเป็นสิ่งมีชีวิต ตอนนี้คงกำลังตัวเหลืองๆ แห้งๆ รอวันตาย โดยมีลูกหลานคนไทยคอยรุมกระทืบอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายพอรากไม่มี สิ่งที่เข้ามาแทนคือวัฒนธรรมของตะวันตก คือ เงิน และปรัชญาของการมีชีวิตอยู่ก็คือ เพื่อตัวเอง ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองอยู่รอดและเหนือกว่าผู้อื่น ตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่เราทุกคนต้องมีก็คือเงิน มีเงิน แล้วถึงจะมีความสุขได้ หาเงินกันเร็วๆ รีบๆ รวย แล้วก็ตาย เมื่อรวมๆ กันแล้ว ทุกฝ่ายช่วยกัน ผลลัพธ์ก็คือเราไม่ภูมิใจในความเป็นไทย ก็จะให้ภูมิใจอะไรล่ะครับ ในเมื่อมันหายไปหมดแล้ว จะหาอะไรให้ภูมิใจก็ไม่เจอ ตลกกว่านั้น ผมว่าถึงหาเจอเราก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าภูมิใจตรงไหน ผมคิดว่าตอนนี้ คนงานคนนั้นคงกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ มีลมพัดเย็นๆ แล้วทอดสายตาไปตามถนนที่เค้าเพิ่งทำเสร็จอีกแห่งหนึ่ง และรอบๆ ริมถนน ต้นซากุระคงกำลังรอที่จะผลิดอกอันสวยงามอีกในปีหน้า ในขณะที่ต้นชัยพฤกษ์เหี่ยวแห้งลงทุกวันๆ รอวันตาย ผมเป็นคนไทยและผมก็รักเมืองไทยและผมก็อยากให้คนอื่นๆ รักเมืองไทยเหมือนกัน ผมอยากให้ผู้รับเหมาในเมืองไทยไม่ทำงานกันลวกๆ ผมอยากให้เมืองไทยเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม มีรสนิยม ผมไปๆ มาๆ หลายประเทศ ผมพบว่าประเทศเราติดอันดับสกปรก ไม่มีระเบียบ ตึกรามบ้านช่องอุจาดสายตาเกือบที่สุดในโลก ผมพบว่าตัวการใหญ่ที่ทำให้บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้ก็คือ เงิน เราอยากได้เงิน เงินจากการคอร์รัปชั่นของผู้รับเหมากับหน่วยงานของราชการ ส่วนผู้ว่าจ้างก็อยากให้ผู้รับเหมาสร้างตึกเร็วๆ เสร็จเร็วๆ จะได้ค้าขายสักที สวยไม่สวยช่างแม่ง สบายๆ ชิลล์ๆ อย่าไปคิดมาก ร้านเราต้องเด่นทาตึกสีเขียวแม่งเลย ลองไปถนนแถวซอยวัชรพลดูสิครับ เราจะเห็นป้ายขายของเต็มไปหมด ซ่อมไดนาโม ถ่ายเอกสาร รับกำจัดปลวก รับต่อ พรบ. และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกร้านอยากได้เงิน เงินเยอะๆ ด้วย เพราะฉะนั้นป้ายเราต้องใหญ่ ต้องเด่น ร้านอื่นสีแดง เราต้องสีเขียวแม่งเลย ที่ตลกกว่านั้นก็คือพอทุกป้ายเด่น ทุกอย่างลายตาไปหมด ขับรถไปแถวนั้น ปวดตามากครับ เรื่องความสวยงามไม่ต้องพูดถึง เห็นแล้วขนลุก ข้อดีของประเทศเราก็คือ เราไม่คิดมาก ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติต่างๆ อันเลวร้าย จึงต้องเรียนรู้วิธีป้องกันและเอาตัวรอดให้ได้ เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นมีชีวิตอยู่จึงเป็นเวลาที่มีค่าและควรมีความสุขที่สุด ผมว่าประเทศเราเห็นแก่เงินกันอย่างมีระบบ พูดง่ายๆ เป็นกันหมด รากฝอย รากหญ้า รากแก้ว เราด่าผู้นำ ด่ารัฐบาล ด่านัก ารเมือง ผมขอแนะนำให้เราด่าตัวเอง ด่ากันบ้างเถอะครับ บ้านเราชอบอะไรเร็วๆ รวยเร็วๆ ดังเร็วๆ เป็นประเทศที่มีของใหญ่ที่สุดในโลกมากมาย ตั้งแต่ ข้าวหลามยักษ์ กระบวยยักษ์ ไข่เจียวยักษ์ ข้าวผัดยักษ์ หม้อยักษ์ โอ่งยักษ์ ธูปยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปัจจุบันไม่มีเพราะล้มลงมาทับคนตายลงข่าวหน้าหนึ่ง) แต่สิ่งที่เราไม่มีคือ การรักษาต้นไม้ เลี้ยงดูให้ใหญ่ที่สุดในโลก รักษาแหล่งน้ำให้อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก ผมว่าเราทำให้ชีวิตเราซับซ้อนเกินไป ทำเงิน หาเงิน ต้องมีเงินถึงจะมีความสุข ที่สำคัญคนอื่นจะเป็นยังไงช่างมัน ทำไมความสุขของเราต้องตามมาด้วยความทุกข์เสมอครับ
ต่อ- ธนญชัย ศรศรีวิชัย: นิตยสาร สารกระตุ้น 01/01/2549
ปล...ผมว่าคุณต่อเขาพูดไว้น่าคิดดีนะครับ ใครคิดเห็นยังไง
No comments:
Post a Comment