ผมเชื่อว่าชีวิตเรามีขึ้นและมีลง แน่นอนว่าช่วงขาขึ้นอะไรๆ มันก็ดูดีไปหมด เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม แต่พอเจอวันขาลงเข้า ลงก็คงรู้สึกเซ็ง เบื่อหน่าย และอยากจะให้มันผ่านๆ ไปให้เร็ว หรือถ้าไม่มีขึ้นไม่ลง มันก็เหมือนชีวิตราบเรียบ ไร้ความตื่นเต้นไม่น่าจดจำไปเสียซะอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าวันที่คุณเจอเรื่องอะไรแย่ๆ แล้วมันจะแย่ไปหมดเสียทุกอย่าง หรือแม้แต่วันธรรมดาๆ ก็ใช่ว่าจะน่าเบื่อไปเสียเมื่อไร Geofery James เขียนบล็อกใน Inc ได้อย่างน่าอ่านว่าคุณสามารถทำอะไรบางย่างที่ไม่ยากจนเกินไป แต่สามารถเปลีย่นวันเหล่านั้นให้กลายเป็นวันที่ยอดเยี่ยมได้ มีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลยครับ

1. ฟังหรืออ่านอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ

โดยทั่วๆ ไปแล้ว เรามักจะเลือกเสพอะไรที่สร้างความบันเทิงหรือไม่ก็พวกข่าวต่างๆ เป็นหลัก และหลายๆ ครั้งที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกดี แต่กลับทำให้คุณเครียดเข้าไปอีก ทางที่ดี คุณควรลองหาเวลาฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือดูอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณเช่น TED Talk เป็นต้น (ถ้าคุณคิดว่าหาพวกนี้ยากล่ะก็ ผมแนะนำให้คุณลองเข้าร้านหนังสือ หรือลองหาทางอินเตอร์เนตก็ได้ครับ มันมีเพียบเลยฮะ)

2. ทำให้ร่างกายของคุณแข็งแกร่งมากขึ้น

ร่างกายของคุณมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วัน มันอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คงจะดีกว่าถ้าคุณดูแลร่างกายของคุณให้แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอ หาเวลาในการออกกำลังกายอยู่เสมอ กินอาหารดีๆ เพื่อที่คุณจะได้รู้สึกดีๆ กับร่างกายของคุณเองได้ตลอดเวลา

3. สำรวจแผนอนาคตของตัวเอง

เวลาที่คุณทำอะไรโดยไม่มีจุดหมายนั้น คุณจะรู้สึกเคว้งคว้างและใช้ชีวิตไปวันๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้ตัวเองว่าคุณกำลังจะก้าวไปสู่เป้าหมายอะไร ทุกอย่างที่คุณทำในแต่ละวันก็จะสามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไปสอดรับกับเป้าหมายที่คุณวางไว้ตรงไหน และแม้มันจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับคุณเองแล้วคุณจะรู้ดีว่ามันมีค่า การรีวิวแผนอนาคตของคุณอยู่บ่อยๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวคุณเองได้เพราะมันทำให้คุณเห็นว่าคุณอยู่จุดไหนของเส้นทางแล้ว

4. ทำอะไรสักอย่างที่ “คุ้มค่า”

เมื่อคุณได้ทำอะไรสักอย่างที่ต่างไปจากเดิมและมันสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง มันจะเป็นสิ่งที่คุณมักจะรู้สึกคุ้มค่ากับที่ลงมือทำหรือเสียเวลาไป ฉะนั้นแล้ว คุณควรลองพยายามหาเวลาจากวันยุ่งๆ ของคุณในการทำอะไรบางอย่างที่มากกว่าการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ดู เพราะมันจะกลายเป็นสิ่งที่คุณจะจดจำได้เป็นพิเศษเลยทีเดียว

5. ช่วยเหลือคนอื่นที่แย่กว่าเรา

หนึ่งในวิธีที่ดีที่ทำให้คุณสามารถรู้สึกดีๆ ได้คือการช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่สามารถเติมความอิ่บเอิบใจให้กับตัวคุณได้อย่างดี (และจะดีมากถ้าคุณทำโดยไม่ต้องพยายามเอาเครดิต(

6. ใช้ 20 วินาทีในการรู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวคุณมี

เชื่อเถอะว่าสิ่งที่คุณมีอยู่ทุกวันนี้มันมีคุณค่าในทางใดทางหนึ่ง แม้มันอาจจะไม่ดีเลิศเพอร์เฟค แต่โลกก็ยังไม่แตก และคุณก็ยังมีชีวิตอยู่ ใช้เวลาสักนิดมองสำรวจตัวคุณเองว่ารอบตัวคุณยังมีอะไรดีๆ ให้คุณมองเห็นคุณค่าและสัมผัสได้อยู่

7. จดบันทึกเรื่องราวดีๆ อย่างน้อยหนึ่งอย่าง

ในทุกๆ วันนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าคุณสามารถนึกเรื่องดีๆ อย่างน้อยหนึ่งอย่างในแต่ละวันและบันทึกมันไว้ แม้มันจะไม่ใช่เรื่องราวดีๆ แบบสุดยอดอะไร แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องดี ฝึกบันทึกมันให้เป็นนิสัย (จะถ่ายรูป เขียนไดอารี่อะไรก็ได้) และเมื่อทำถึงจุดหนึ่งแล้ว คุณก็จะรู้สึกได้ว่า “มันมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นทุกวันสิน่า”
แปลและเรียบเรียงจาก Inc
ภาพจาก: http://fc00.deviantart.net/
Source : http://www.nuttaputch.com/3-things-motivate-employee-better-than-money/
-----------------------------------------

7 ประโยคที่คนประสบความสำเร็จเขาไม่พูดกัน

ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จกัน แต่รู้กันหรือไม่ครับว่าวิธีการพูดของคุณซึ่งจะสะท้อนและปลูกฝังวิธีคิดของคุณก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้คุณไปไม่ถึงฝั่งฝันเอาได้เหมือนกัน นอกจากนี้แล้วคำพูดดังกล่าวอาจจะไปกระทบกับหน้าที่การงานของคุณโดยไม่รู้ตัวอีกต่างหาก
วันก่อนผมได้ไปอ่านเจอโพสต์ของ Ilya Pozin บน LinkedIn ซึ่งหยิบเอาเรื่องคำพูดที่คุณไม่ควรพูด เนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจมากเลยขอหยิบเอามาเล่าสู่กันฟังหน่อยแล้วกันนะครับว่า 7 ประโยคที่คุณควรเลิกพูด (หรืออย่างน้อยก็คิดก่อนเสียหน่อย) คืออะไรบ้าง

1. นั่นไม่อยู่ในหน้าที่ของฉัน

โดยปรกติแล้ว เมื่อคุณเข้าทำงาน คุณก็จะมีภาพที่ค่อนข้างชัดว่าคุณทำหน้าที่อะไร ต้องรับงานอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณทำงานไปเรื่อยๆ และหน้าที่การงานของคุณก็ขยับขยายตาม มันก็ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบและการคาดหวังที่ตามมา รวมไปถึงหลายๆ ครั้งที่หัวหน้าของคุณจะเริ่มโยนงานใหม่ๆ ให้กับคุณ ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะทำให้บางคนไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้และใช้ประโยคข้างต้นในการระบายออกมา
วิธีการที่ดีคือการของการรับมือสถานการณ์นี้คือการนัดคุยกับหัวหน้าของคุณเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของคุณให้ชัดเจนว่ามีการปรับเปลี่ยนหรือคาดหวังเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งการพูดอย่างเป็นทางการนี้ดีกว่าการที่คุณจะใช้เป็นข้ออ้างในการไม่รับงานเมื่อถูกมอบหมาย เพราะการพูดประโยคนี้มีแต่ทำให้คุณดูขี้เกียจหรือไม่มีความมุ่งมั่นในการทำงานเท่านั้น

2. มันทำไม่ได้หรอก

การบอกยอมแพ้มันทำให้คุณดูเป็นพวกประเภทชอบยอมแพ้ และคนเหล่านี้มักไม่ได้รับการโปรโมตเท่าไรในองค์กรหรอกครับ ฉะนั้นแทนที่จะยอมแพ้ (แต่ต้น) ลองพยายามหาวิธีการตอบเพื่อชี้แจงหรือหาวิธีอื่นในการทำให้งานสำเร็จ จริงอยู่ว่าปัญหาหลายอย่างนั้นอยู่ในระดับยากชนิดเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้บริหารและหัวหน้าของคุณอยากได้การเสนอแนะหรือแนวคิดที่จะทำให้มันสำเร็จมากกว่าการบอกว่า “ไม่” อย่างเดียว ซึ่งถ้าคุณพยายามมองหาวิธีการแก้ปัญหา คุณก็จะกลายเป็นคนที่มีค่าในองค์กรไปโดยปริยาย

3. มันไม่ใช่ความผิดของฉัน

ไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่โยนความผิดให้กับคนอื่นหรอกครับ การยอมรับความผิดแทนที่จะชี้ไปยังผู้อื่นนั้นทำให้คนอื่นมองคุณในแง่บวก นอกจากนี้การยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเป็นคุณสมบัติให้คุณเรียนรู้และโตขึ้นจากปัญหาดังกล่าว การโทษคนอื่นคือการที่บอกว่าคุณไม่เคยคิดจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลยต่างหาก

4. นี่จะใช้เวลาแป๊ปเดียวเท่านั้น

ถ้างานของคุณมันไม่ได้เสร็จแบบ “แป๊ปเดียว” จริง คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปสัญญาแบบเกินจริงอะไร แถมในหลายๆ ครั้งนั้น การพูดว่า “แป๊ปเดียว” จะกลายเป็นการทำให้ดูเหมือนว่างานของคุณไม่มีคุณภาพ ดูรีบทำ รวมไปถึงการที่คุณไม่ได้แสดงให้เห็นถึง “คุณค่า” ของงานที่คุณจะทำอีกต่างหาก

5. ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร

การเป็นประเภทลุยเดี่ยวฉายเดี่ยวคงไม่ใช่เรื่องดีเสียเท่าไร (เว้นแต่บริษัทของคุณมีคนเดียวน่ะนะ) การทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ได้เป็นหนึ่งในคุณสมบัติจำเป็นของผู้นำที่ดี การลุยเดี่ยวคนเดียวอาจจะทำให้คุณคิดว่าคุณเก่งและเหนือกว่าคนอื่นจริง แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้มองแบบนั้น แถมมันยังทำให้คนรอบข้างคุณรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เป็นที่ต้องการของคุณอีกด้วย (แล้วเขาจะทำงานไปทำไมล่ะ?)

6. มันไม่ยุติธรรม

ชีวิตเรามันไม่ยุติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (เอาจริงๆ คือไม่มีอะไรในโลกที่ยุติธรรม “จริงๆ” หรอกนะฮะ) การเอาแต่บอกว่ามันไม่แฟร์มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้นเสียเท่าไรเช่นเดียวกับการงานของคุณ แทนที่คุณจะเสียเวลาไปกับการพูดว่ามันไม่แฟร์หรือหมกมุ่นตัวเองแบบนั้น คงจะดีเสียกว่าถ้าคุณทำงานให้หนักขึ้นและหาวิธีสร้างโอกาสให้ตัวคุณเอง

7. เราทำแบบนี้กันมาเสมอ

การทำงานประเภท “ทำต่อๆ กันมา” หรือ “เขาว่ากันมาอย่างนั้น” เป็นวิธีการที่ทำให้ธุรกิจไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน แถมอาจจะถึงขึ้นวิกฤตเอาได้ง่ายๆ สิ่งที่จำเป็นคือการเรียนรู้สถานการณ์รอบข้าง ปรับตัว และหาวิธีที่จะอยู่รอดให้ได้คือรู้ที่จะปรับตัวอยู่เสมอ ฉะนั้นอย่าให้ความคิดของคุณจมอยู่กับวิธีเดิมๆ โดยไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลยครับ
Source : http://www.nuttaputch.com/7-sentence-success-people-dont-speak/
----------------------------------------

3 สิ่งที่สร้างแรงจูงใจให้คนทำงานดีกว่าใช้เงิน

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมักคิดกันว่าโดยพื้นฐานแล้ว คนทำงานมักจะมีแรงจูงใจสำคัญคือเรื่องเงิน นั่นทำให้เรามักเห็นโมเดลการใช้เงินเป็นแรงรูงใจอยู่บ่อยๆ เช่นคอมมิชชั่น โบนัส ฯลฯ และพอพนักงานเริ่มมีประสิทธิภาพน้อยลงหรือดูไม่ตั้งใจทำงาน ปัญหาเรื่องเงินก็มักจะถูกยกมาพูดบ่อยๆ
แต่อันที่จริงแล้ว ผมเชื่อว่าหลายๆ คนอีกเช่นกันที่จะคิดตรงกันข้าม เพราะเรื่องเงินอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปในการสร้างแรงจูงใจ อันที่จริงแล้ว ส่วนตัวผมเองกลับคิดว่าถ้าพนักงานใช้เงินเป็นแรงจูงใจในการทำงานนั้นจะยิ่งน่ากังวลเสียด้วยซ้ำ แถมยังมีการทดลองหลายอย่างที่พบว่าการใช้เงินสร้างแรงจูงใจกลับยิ่งทำให้คนทำงานไม่มีประสิทธิภาพเสียอีกต่างหาก
พอเป็นเช่นนี้แล้ว หลายๆ คน (อีกแล้ว) ก็คงจะคิดกันต่อว่าแล้วอะไรล่ะที่น่าจะเป็นแรงจูงใจสำคัญให้คนอยากทำงาน พอดีวันก่อนผมก็ไปเจอ Infographic น่าสนใจของ Clarity เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี เลยถือโอกาสเอามาเขียนบล็อกเล่ากันต่อเลยแล้วกัน
เงินไม่ใช่แรงจูงใจที่สุด
จากรายงานของ McKinsey นั้นพบว่าแรงจูงใจจากเงินนั้นยังคงเป็นหนึ่งในแรงจูงใจสำคัญอยู่ก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องเงิน​ (หรือค่าตอบแทน) กลับไม่ใช่แรงจูงใจที่มีผลมากที่สุดแต่อย่างใด ในทางกลับกัน แรงจูงใจที่มีผลมากที่สุดกลับเป็นการได้รับการยอมรับหรือคำชมจากหัวหน้างาน (67%) การได้รับความสนใจจากผู้นำองค์กร (63%) โอกาสในการเป็นผู้นำของโปรเจคงาน (62%)

3 ปัจจัยที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงาน

Dan Pink ได้เล่าไว้ในหนังสือของเขาว่า 3 สิ่งหลักที่ทำให้คนทำงานได้ดีขึ้น มีแรงจูงใจมากขึ้น และทำให้คนรู้สึกดีมากขึ้นคือ

1. Autonomy (การได้เป็นอิสระ)

พนักงานล้วนมีความต้องการที่จะได้ตัดสินใจและควบคุมงานที่ตัวเองทำแทนที่จะถูกสั่งให้ทำอะไรตามคำสั่ง การให้สิทธิ์ในการที่พนักงานได้ควบคุมตัวเอง ได้มีอิสระในการจัดการ อิสระในการตัดสินใจ นั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้พนักงานรู้สึกพอใจและมีส่วนร่วมกับงานที่ตัวเองทำ

2. Mastery (การได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในงาน)

พนักงานหลายคนมีความอยากที่จะมีความเชี่ยวชาญและทำงานที่ตัวเองทำได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม การได้แก้ไขปัญหาที่ท้าทายหรือการหาวิธีการใหม่ๆ มาทำงานให้ดีขึ้นได้จะเป็นแรงจูงใจอย่างดีให้กับพนักงานประเภทนี้

3. Purpose (การทำงานอย่างมีเป้าหมาย)

พนักงานระดับคุณภาพนั้นมักจะเป็นกลุ่มที่ต้องการเป้าหมายของการทำงานมาเป็นแรงจูงใจสำคัญ ยิ่งหากพวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นส่วนสำคัญของการทำบางสิ่งที่สำคัญหรือยิ่งใหญ่ นั่นจะยิ่งทำให้พวกเขาทุ่มเทให้กับงานมากทีเดียว
13661
ผมไม่แน่ใจว่า 3 อย่างนี้จะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมองหาเป็นแรงจูงใจหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้สึกไปในแบบนี้ล่ะก็ คุณอาจจะได้ไอเดียในการบริหารงานมากขึ้นทีเดียว
ปล. Dan Pink มี TED Talk เจ๋งๆ ที่อธิบายเรื่อง Motivation ไว้ได้อย่างน่าสนใจและผมว่าคุณควรจะหาเวลาดูให้ได้นะครับ
Source : http://www.nuttaputch.com/3-things-motivate-employee-better-than-money/
----------------------------------------


15 สิ่งที่คนเก่งๆ เขาทำกันทุกเช้าวันจันทร์

ผมเชื่อว่าเช้าวันจันทร์น่าจะเป็นวันที่หลายๆ คนคงไม่ค่อยปรารถนาสักเท่าไร (ดังที่เรามักเห็นอาการกรีดร้องกันเป็นปรกติบน Timeline / Newsfeed) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราๆ อาจจะไม่เคยคิด (หรือเปล่า) คือการเริ่มต้นในวันจันทร์นั้นสำคัญมากพอสมควร อย่างในบล็อกของ Inc เองก็มีการพูดเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจเหมือนกัน
Lynn Taylor ซึ่งเป็นหนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งให้ความเห็นเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่าเมื่อคุณหยุดงานไปวันสองวัน เช้าของวันที่คุณกลับเข้ามาทำงานจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของอาทิตย์เนื่อจากมันจะมีอิทธิพลมากกับคุณทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ขึ้นอยู่กับคุณจะเลือกแบบไหน
ด้วยเหตุนี้ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จึงมักจพร้อมรับมือกับภาวะงานทะลักหรือความวุ่นวายต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นในเช้าวันจันทร์และจหาวิธีจัดการมันให้ลงตัวได้ ซึ่งก็มีพฤติกรรม 15 อย่างที่คนเหล่านี้มักจะทำกันทุกเช้าวันจันทร์

1. ตื่นเช้าและออกกำลังกาย

การเตรียมร่างกายให้พร้อมจะทำให้คุณตื่นตัวและพร้อมจะทำงาน นอกจากนี้แล้ว การออกกำลังกายยังช่วยหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นให้คุณอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ดีด้วย

2. กินอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพ

ในเช้าวันจันทร์นั้น คุณจะต้องพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องต่างๆ มากมาย การกินอาหารให้ท้องของคุณพร้อมนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกันเพราะมันคงไม่ดีแน่ถ้าคุณต้องรับศึกหนักด้วยท้องที่ร้องรอมื้อกลางวัน

3. ไปถึงที่ทำงานเช้า

จริงอยู่ว่าทุกเช้านั้นเรามักจะอิดออดไม่อยากตื่นสักเท่าไร แต่การไปถึงที่ทำงานก่อนในช่วงเช้าวันจันทร์จะทำให้คุณมีเวลาพักหายใจ ได้ปรับตัวให้เข้ากับภาวะของออฟฟิศและพร้อมจะรับมือกับงานที่จะเข้ามาเมื่อเริ่มงาน

4. จัดโต๊ะทำงานและหน้าจอ Desktop

การเคลียร์โต๊ะทำงานเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่มำให้คุณรู้สึกว่าทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทาง ไม่ยุ่งเหยิงและรกจนสับสน เช่นเดียวกับหน้าจอ Desktop ของคุณเองด้วย การจัดเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยจะยังเป็นการทำให้คุณจูนตัวคุณเองว่าอะไรอยู่ที่ไหน เพื่อที่เวลาคุณต้องการหยิบใช้อะไรคุณก็สามารถนึกออกไดอย่างรวดเร็ว

5. เผื่อเวลาสำหรับงานที่คาดไม่ถึง

คนเก่งๆ มันมีการเตรียมพร้อมและรู้ว่าวันจันทร์มักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอยู่บ่อย เพราะช่วงสุดสัปดาห์นั้นอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ (เจ้านายคิดโปรเจคใหม่ ลูกค้าเกิดไอเดียเพิ่ม ฯลฯ) ฉะนั้นพวกเขาจะเตรียมเผื่อเวลาไว้รับมือกับสิ่งเหล่านี้แต่เนิ่นๆ

6. ทักทายหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน

จริงๆ แล้วสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำในทุกๆ วัน แต่ในวันจันทร์จะสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากทุกคนห่างหายกันไปสองวัน การทักทายยามเช้าจะเป็นการปรับให้แต่ละคนกลับมาสู่โหมดทำงานร่วมกัน

7. อัพเดทสิ่งที่ต้องทำและเป้าหมาย

การทำ To-do-list และตั้งเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่คนเก่งๆ และประสบความสำเร็จมักทำกันอยู่แล้ว และคนเหล่านี้ก็จะใช้เวลาช่วงวันจันทร์ในการตรวจดูว่าลิสต์ของเขาไปถึงไหนแล้ว มีอะไรบ้างที่ตกหล่นหรือค้างอยู่ เช่นเดียวกับการเช็คว่าการทำงานต่างๆ นั้นอยู่ในขั้นไหนในการไปถึงเป้าหมายของพวกเขา

8. วาดภาพความสำเร็จของอาทิตย์นี้

การตั้งเป้าหมายความสำเร็จในอาทิตย์นึงก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จมักทำกัน การตั้งเป้าหมายว่าอาทิตย์นี้จะทำอะไรและจะสำเร็จอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนต่อได้ว่าอาทิตย์นั้นจะต้องทำอะไรบ้าง

9. จัดลำดับอีเมล์ที่สำคัญก่อน

แน่นอนว่าในเช้าวันจันทร์มักมีอีเมล์เข้าหาคุณอยู่ไม่น้อย มันจึงจำเป็นที่คุณต้องจัดแบ่งหมวดหมู่อีเมล์ให้ดี ดูว่าอะไรสำคัญมากกว่ากัน (และอะไรที่ไม่สำคัญ) เพื่อที่คุณจะสามารถตั้งต้นอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

10. จัดการกับปัญหาใหญ่ๆ ก่อน

คนทั่วไปมักเลี่ยงจะจัดการปัญหาใหญ่ๆ และไปแก้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน แต่จริงๆ เมื่อคุณมาพร้อมในเช้าวันจันทร์และยังมีกำลังเหลือเยอะ (หลังจากพักฟื้นในสุดสัปดาห์) คุณควรใช้พลังที่กำลังสดใหม่นั้นจัดการปัญหาใหญ่ๆ เสียก่อนที่มันจะหมดไปด้วยการทำงานระหว่างวัน

11. พยายามที่จะยิ้ม

การยิ้มเป็นเรื่องที่เติมความรู้สึกดีๆ ให้กับการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช้าวันใหม่ ของสัปดาห์ใหม่ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าเริ่มอาทิตย์แล้วเจอคนหน้าบึ้ง หรือรู้สึกซึมๆ มาให้คุณเห็น ฉะนั้นแล้ว คุณควรเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง พยายามยิ้มให้กับทีม เพื่อให้พวกเขารู้สึกดีและยิ้มต่อๆ ไปให้กับคนในออฟฟิศ

12. ส่งอีเมล์ด้วยไมตรีที่ดี

คงไม่ใช่เรื่องดีอีกเช่นกันถ้าอีเเมล์ในเช้าวันจันทร์ทำลายบรรยากาศอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นแล้ว เมล์ที่คุณจะส่งออกในเช้าวันจันทร์นั้นควรจะอ่านให้ดีเสียก่อนว่าดีแล้วหรือยัง ทางที่ดีอย่าเพิ่งส่งเมล์ที่ใช้อารมณ์หรือดุเดือดเสียแต่หัววัน เพราะไม่เพียงแต่คนอ่านจะเซ็งเท่านั้น ตัวคุณเองก็อาจจะรู้สึกแย่ตามๆ ไปด้วย

13. รู้จักปฏิเสธ

ในเช้าวันจันทร์นั้นมักมีการขอความช่วยเหลือหรืองานต่างๆ เข้ามามากมาย​(และมักจะต้องการเดี๋ยวนั้น) มันเลยจำเป็นที่คุณจะต้องรู้จักปฏิเสธเสียบ้าง หรือเลื่อนบางอย่างไปช่วงเวลาอื่นที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เช้าวันจันทร์นั้นเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงจนน่าเบื่อ

14. ตั้งสมาธิ

แน่นอนว่าการตั้งสมาธิและจดจ่อกับงานจะยิ่งทำให้งานสำเร็จหรือเสร็จเร็วขึ้น เช่นเดียวกับประสิทธิภาพการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นตาม ยิ่งเช้าวันจันทร์เป็นวันที่ร่างกายและพลังงานของคุณค่อนข้างพร้อมมากอยู่แล้ว จึงเป็นการดีที่คุณจะใช้มันให้คุ้มค่าเป็นที่สุด

15. รู้ตัวว่ามันยังมีวันอังคารนะ

แม้ว่าวันจันทร์จะยุ่งและวุ่นวายแค่ไหน สิ่งที่คุณไม่ควรลืมคือมันยังเป็นวันแรกของอาทิตย์และไม่ใช่วันสุดท้ายของสัปดาห์ มันยังมีวันอังคารที่ให้คุณได้สานงานต่อ หรือทำอะไรที่ยังค้างอยู่ได้ ฉะนั้นแม้ว่าจะมีความวุ่นวายมากอยู่ในวันจันทร์ก็อย่าเพิ่งท้อ เซ็ง และเบื่อหน่ายแต่อย่างใด เพราะมันก็ยังมีวันอื่นๆ ให้คุณได้แก้ไขและทำให้มันเสร็จอยู่นั่นเอง
เรียบเรียงจาก: www.inc.com
Source : http://www.nuttaputch.com/15-things-successful-people-do-on-monday-morning/
----------------------------------------

30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที

หลังจากที่เมื่อวานผมโพสต์บล็อกเรื่อง 7 สิ่งที่คุณควรเลิกพูดถ้าอยากประสบความสำเร็จไปแล้ว วันนี้ผมก็เลยของเอาอีกบล็อกหนึ่งซึ่งผมชอบมากมาต่อยอดไปเลยแล้วกัน นั่นคือ 30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเอง โดย Marc and Angel ที่ผมว่าเนื้อหามันน่าอ่านมากพอๆ กัน (หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ) เลยขอหยิบเอามาเล่าและเสริมในบางส่วนให้เห็นภาพมากขึ้น
ลองมาดูกันครับว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า? ถ้าใช่ หยุดทำมันเถอะครับ ^^

1. หยุดใช้เวลากับคนแย่ๆ

คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เรารู้จักสุภาษิตนี้กันมาแต่ไหนแต่ไร เรารู้ดีว่าคนดีๆ มักจะสอนและทำให้เราได้ใช้ชีวิตดีๆ เป็นพื้นฐาน ฉะนั้นแล้ว คุณควรรีบใช้ชีวิตอยู่กับคนดีๆ แทนที่จะไปอยู่ในสังคมของคนแย่ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณไม่ไปไหน ยิ่งในเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าถ้าคนนั้นเขาต้องการคุณจริง เขาจะมีที่ให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายามหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่าของคุณ ยังมีคนอีกเยอะที่ให้ความสำคัญกับตัวคุณ จำไว้ว่าคนที่อยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณเวลาที่แย่และชี้ทางให้คุณได้ดีคือคนที่เป็นเพื่อนแท้ และคือคนที่คุณควรให้ความสำคัญต่างหาก

2. หยุดวิ่งหนีปัญหาของตัวเอง

การเอาแต่หนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแต่อย่างใด หากแต่เป็นแค่การยืดเวลาทรมานกับปัญหาออกไปเท่านั้น การที่คุณจะก้าวหน้าและไปสู่ชีวิตที่ดีได้ ก็คือการที่คุณก้าวข้ามอดีต ต่อสู้และเอาชนะกับปัญหาให้ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหาบางอย่าง บางปัญหาต้องใช้เวลา แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามมัน การเผชิญหน้ากับปัญหาอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องร้องไห้ แต่นั่นก็คือบทเรียนของชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้าและเติบโตขึ้น และมันคือสิ่งสำคัญของหล่อหลอมชีวิตเราให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้

3. หยุดโกหกตัวเอง

การโกหกตัวเองมีแต่ทำให้คุณไม่อยู่กับความเป็นจริง และเอาจริงๆ แล้วตัวคุณเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไรเพียงแต่ไม่ยอมรับมัน ยิ่งคุณโกหกตัวคุณเองก็มีแต่ทำให้คุณไม่สามารถอยู่กับชีวิตจริงได้ การเผชิญหน้ากับความจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่นั่นก็คือขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวต่อไป

4. หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง

ชีวิตคุณมีอะไรหลายๆ อย่างที่คุณควรได้ทำ อย่าเอาเวลาที่คุณมีไปทำอย่างอื่นจนลืมทำอะไรให้ตัวเอง การช่วยคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีมากถ้าคุณไม่ลืมเป้าหมายของัวเองและเติมเต็มให้กับสิ่งที่อยากทำด้วย

5. หยุดพยายามเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง

หลายๆ ทีเราอยากเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เสมอไป ตัวตนบางอย่างไม่ได้เป็นสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อเป็น และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องเป็น ในทางกลับกัน การที่คุณพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณจะเป็นเพียงการเสียเวลา ฝืนตัวเอง และเสียโอกาสที่จะพัฒนาส่วนเด่นของคุณเองอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้ว การพยายามเป็นที่รักของทุกคน พยายามเอาใจทุกคนด้วยการเปลี่ยนตัวเองนั้นเป็นความคิดผิดๆ ที่จะทรมานตัวคุณเองเปล่าๆ เป็นตัวของคุณเองและให้คนอื่นภูมิใจหรือยอมรับในตัวตนที่แท้ของคุณดีกว่า

6. หยุดยึดติดกับอดีต

อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้จมอยู่กับมัน ชีวิตคุณจะไม่มีวันไปไหนถ้ายังยึดติดกับเรื่องเดิมๆ คิดว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบเมื่อวาน ความสำเร็จมันต้องเป็นแบบครั้งก่อน คุณกำลังอยู่กับ “วันนี้” และใช้ชีวิตเพื่อไปสู่ “พรุ่งนี้” ไม่ใช่การกลับไปใช้ชีวิตใน “เมื่อวาน”

7. หยุดกลัวที่จะทำผิด

ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากให้เกิดกัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องราวสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าอะไรดีและไม่ดี การอนุญาตให้ตัวเองได้พบกับความผิดพลาด (บ้าง) คือการเปิดใจให้กล้าลอง ได้ทดสอบหลายๆ อย่าง การลองแล้วผิดพลาดมันก็ยังดีเสียกว่าคุณไม่ได้ลองทำอะไรเลย คุณที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนพบกับความผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะไปให้ไกลขึ้น คุณก็ต้องกล้าที่จะพบกับความผิดหวังบ้าง แต่ถ้าคุณไม่กล้า คุณก็วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ

8. หยุดโทษตัวเองกับความผิดก่อนๆ

คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ว่าความผิดพลาดมันจะเกิดขึ้นตลอดไป ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน คุณอาจจะเสียใจกับความผิดในอดีตได้ แต่อย่าเอาแต่โทษตัวเองจนไม่ได้ทำอะไรใหม่ จำไว้ว่าความผิดพลาดมันคือการปูโอกาสให้เจอสิ่งที่ใช่ การที่เราเคยคบกับคนที่ไม่ใช่ ก็เพื่อให้วันหนึ่งเราได้เจอคนที่ใช่ ความผิดพลาดในอดีตก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร

9. หยุดคิดที่จะเอาแต่ซื้อความสุข

ความสุขไม่ได้มาจากการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จริงอยู่ว่าคุณอาจจะมีของอยากได้ที่ราคาแพง แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างของความสุข อันที่จริงแล้วยังมีความสุขอีกมากมายที่คุณได้มาฟรีๆ อย่างเช่นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

10. หยุดคาดหวังความสุขจากคนอื่น

ประโยคประเภท “ชั้นมีความสุข เมื่อเธอมีความสุข” อาจจะฟังดูสุดโรแมนติค แต่ถ้าตัวคุณเองยังไม่มีความสุขกับตัวเองแล้ว คุณจะไปมีความสุขกับคนอื่นได้ยังไง ฉะนั้นแล้ว ความสุขเริ่มต้นจากตัวคุณเองก่อน ความคิดประเภท “ชั้นจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีเธอ” มันทำให้คุณต้องไปพึ่งหวังกับคนอื่นและต้องทุกข์ถ้าไม่มีอีกฝั่งทั้งที่จริงคุณเองก็สามารถสุขได้ด้วยตัวเองแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น สร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน แล้วคุณแชร์ความสุขนั้นกับผู้อื่นดีกว่าครับ

11. หยุดไม่ทำอะไรสักที

หลายคนเป็นประเภทกลัวจะสร้างปัญหา เลยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนด้วยเช่นกัน ชีวิตคุณเกิดมาพร้อมกับเวลาและโอกาสมากมาย ใช้เสียให้คุ้ม ดูสถานการณ์รอบตัวคุณแล้วคิดเสียว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจะพาชีวิตก้าวไปข้างหน้า แล้วก็เริ่มลงมือทำได้แล้ว

12. หยุดคิดว่าคุณไม่พร้อม

ไม่มีใครพร้อม 100% ตอนที่ได้รับโอกาส เพราะเอาเข้าจริงๆ การนิยามว่า “พร้อม” นั้นมันไม่มีคำนิยามที่เป๊ะๆ หรอก แถมเอาเข้าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่คุณคิดไปเองทั้งนั้น โอกาสดีๆ ในชีวิตมันมาพร้อมกับการทำให้คุณก้าวไปสู่สิ่งที่คุณยังไม่เคยได้ทำ สิ่งที่คุณยังไม่มีประสบการณ์ ฉะนั้นมันไม่มีทางที่คุณจะพร้อมอยู่แล้ว มันอยู่แต่ว่าคุณจะยอมทำมันไหมต่างหาก

13. หยุดไปมีความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลผิดๆ

การมีความสัมพันธ์ใดๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดและพิจารณากันดีๆ ชีวิคคู่ในหลายๆ ครั้งไม่ได้นำไปสู่เรื่องดีๆ แถมยังทำให้ชีวิตย่ำแย่เสียอีกต่างหาก ผมมักพูดเสมอบ่อยๆ ว่าถ้ามีคู่แล้วไม่ดี ก็อยู่เป็นโสดเสียดีกว่า อย่าไปคิแบบนิยายว่ารักคือสิ่งสวยงามที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่สีชมพู เราเห็นกันมาเยอะแล้วว่าเวลารักขมมันทำให้ชีวิตแต่ละคนย่ำแย่แค่ไหน ถ้าจะมีความรักอะไรนั้น ให้มีวันที่คุณพร้อมจะมี ไม่ใช่มีเพราะคุณแค่อยากจะหายเหงา

14. หยุดคิดว่าจะเป็นโสดแค่เพราะรักครั้งที่แล้วมันแย่

การมีความรักที่ผิดพลาดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่ว่ารักครั้งใหม่มันจะต้องแย่เหมือนรักครั้งก่อน คุณที่คุณเจออยู่อาจจะเป็นคนที่ “ใช่” และทำให้ชีวิตของคุณดีก็เป็นไปได้ ฉะนั้นแล้วเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปิดประตูเพราะเอาแต่คิดว่า “ผู้ชายทุกคนมันเลว” หรือ “ผู้หญิงทุกคนนั้นแย่” (ไอ้ที่แย่น่ะมันแค่คนบางคนที่คุณเจอ หรือบางทีอาจจะเป็นที่ตัวคุณเองต่างหากเล่า)

15. หยุดแข่งกับคนอื่น

การเทียบกับคนอื่นมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกอคติกับตัวเองเพราะต้องมานั่งกังวลว่าคนอื่นเขาจะดีกว่าคุณเมื่อไร เขาจะนำคุณเมื่อไร มันกลายเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณไปผูกอยู่กับคนอื่นแทนที่คุณจะมานั่งสนใจกับตัวคุณเอง ฉะนั้นแล้ว ตั้งเป้าหมายในการแข่งกับตัวคุณเอง เอาชนะตัวเองในวันก่อนๆ ให้ได้คือสิ่งที่คุณควรจะคิดมากกว่านะครับ

16. หยุดอิจฉาคนอื่น

การอิจฉาเป็นกิเลสที่เผาตัวคุณอย่างไม่มีวันจบ ยิ่งคุณอิจฉาคนอื่นมันก็จะยิ่งทำให้คุณทรมานมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้คุณวนเวียนแต่กับการคิดไม่ดีกับคนอื่น คิดแต่จะทำให้คนอื่นแย่กว่าตัวเอง ถ้าคนอื่นดีกว่าคุณ คุณก็โทษตัวเองไปในตัว แล้วมันนำไปสู่อะไรกันล่ะ? หยุดอิจฉาคนอื่นแล้วมาสนใจตัวคุณเองดีกว่า นอกจากไม่ทุกข์แล้ว คุณอาจจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วย

17. หยุดโทษตัวเอง

อย่างที่บอก (อีกแล้ว) ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ คุณเองก็ผิดได้ เจ้านายคุณก็ผิดได้ เพื่อนคุณก็ผิดได้ อย่าเอาแต่คิดว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะคุณ สิ่งต่างๆ มันมีปัจจจัยที่มาเกื้อหนุนให้ “เกิดขึ้น” ไม่ใช่แค่เพราะคุณคนเดียว เรียนรู้จากความผิดพลาดและยิ้มให้กับตัวเองแทนที่จะเอาแต่โทษตัวเองไปเรื่อยๆ

18. หยุดอาฆาตแค้น

นอกจากความอิจฉาแล้ว การอาฆาตแค้นเป็นเรื่องที่ชีวิตคุณไม่ควรเอามาถือไว้เลยสักนิด การเกลียดคนอื่นมีแต่จะทำให้ชีวิตคุณแย่และทำร้ายตัวคุณเองมากกว่าที่คนซึ่งคุณเกลียดทำกับคุณเสียอีก การให้อภัยหรือปล่อยมันไปเป็นเรื่องไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้คุณหลุดพ้นจากวังวนที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ คุณต้องกล้าที่จะบอกว่า “ฉันจะไม่ให้เธอมาทำลายความสุขของฉันอีก” แล้วก็อย่าไปสนใจมันอีก แค่นั้นแหละครับ

19. หยุดให้คนอื่นมาฉุดให้คนลงไปอยู่กับพวกเขา

หลายๆ ครั้งที่คุณรู้ว่าชีวิตคุณมีดีกว่าที่จะตอบโต้หรือลงไปอยู่ในมาตรฐานเดียวกับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นก็อย่าเอาตัวเองลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำลง เหมือนบัว 4 เหล่าที่คุณไม่ควรลงไปยุ่งและทำตัวแบบเดียวกับบัวที่อยู่ต่ำกว่าคุณนั่นแหละครับ

20.  หยุดเอาเวลามานั่งอธิบายตัวเองให้คนอื่นฟัง

คนที่เขาเข้าใจและแคร์คุณ (และคนที่คุณควรแคร์) เขาไม่ต้องมานั่งฟังคุณอธิบายว่าคุณเป็นอย่างไร เพราะเขาจะเข้าใจคุณตั้งแต่แรกโดยแทบไม่ต้องพูดอะไรสักนิด ในขณะเดียวกัน คนที่เขาเกลียดคุณหรือเป็นศัตรูคุณเขาก็ไม่มานั่งฟังคุณเช่นกัน (คุณอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ)

21. หยุดทำอะไรโดยไม่มีหยุดพัก

จริงอยู่ว่าชีวิตมีเวลาจำกัดที่คุณต้องรีบใช้ให้คุ้ม แต่การคุ้มไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ได้พักอะไรเลย การพักบ้างอะไรบ้างมันทำให้คุณได้ถอนหายใจ ได้พิจารณาอะไรหลายๆ อย่างระหว่างพัก ลองหาเวลาที่จะหยุดทำอะไรสักพักแล้วให้เวลากับตัวเองในเรื่องอื่นบ้างก็ไม่เสียหายหรอกครับ

22. หยุดมองข้ามความสวยงามเล็กๆ น้อย

การหาความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างมันเป็นเรื่องที่ดีและทำให้คุณเห็นคุณค่าของ “เวลา” และ “ชีวิต” มากกว่าที่คุณคิด คุณอาจจะมีเป้าหมายใหญ่ที่ต้องวิ่งไปข้างหน้าอีกนาน แต่อย่าลืมแวะสนุกกับเรื่องราวริมทางบ้าง มันจะดีมากถ้าคุณสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความสุขใหญ่ๆ ที่ปลายทาง

23. หยุดทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟค

โลกความจริงมันไม่เหมือนโลกอุดมคติ ไม่มีอะไรที่จะเสร็จสมบูรณ์ไปได้ คนเราย่อมคิดอะไรที่จะแต่งแต้มและเพิ่มให้ดีขึ้นได้อีกเรื่อยๆ การที่เอาแต่บอกว่ามันต้องสมบูรณ์เท่านั้นมันเป็นการตีกรอบให้หลายๆ ทีคุณไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเพราะคุณเอาแต่คิดว่า “มันไม่ดีพอ” สักกะที

24. หยุดเดินตามเส้นทางที่เน้นปลอดภัยอย่างเดียว

ใครๆ ก็อยากรู้สึกปลอดภัยอยู่ใน Comfort Zone แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนไกล การจะประสบความสำเร็จหรือได้สิง่ที่คุณคู่ควรนั้น ส่วนหนึ่งคือการลองทำสิ่งใหม่ๆ การทำอะไรที่ยากๆ หรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้นแล้ว อย่าเอาแต่เลือกเส้นทางแบบ “รักสบาย”​ ตลอดไป บางครั้งคุณต้องกล้าจะเลือกทางที่จะยากลำบากบ้าง (แล้วมันอาจจะดีเสียกว่าที่คุณเลือกทางสบายๆ เสียอีก)

25. หยุดทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างไม่เป็นไรทั้งที่จริงมันไม่ใช่

การมองโลกในแง่ดีกับการมองโลกโดยไม่อยู่กับความจริงมันเป็นเรื่องที่ฟังดูคล้ายๆ กันแต่ได้ผลคนละเรื่อง คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่กระเทือน ไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลา บางทีคุณก็ต้องปล่อยให้ตัวเองรู้สึกบ้างอะไรบ้าง เดือดร้อนบ้างตามประสามนุษย์ มันทำให้คุณมีโอกาสได้เป็น​ “คน” อย่างที่คุณเป็นอยู่แหละครับ

26. หยุดพยายามเป็นทุกอย่างเพื่อทุกๆ คน

ความคิดเรื่องของการเป็น “คนของประชาชน” ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างคุณควรจะทำ (เว้นแต่คุณจะพยายามเป็นนักการเมืองน่ะนะ) คุณต้องไม่ลืมว่าคนรอบข้างคุณไม่ได้คิดเหมือนกันทุกคน ยิ่งคุณรู้จักคนเยอะ เกี่ยวข้องกับคนเยอะ มันก็ยิ่งมีความต้องการมากมาย ความคาดหวังที่หลากหลาย แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้ตอบสนองทุกๆ อย่าง เพราะสุดท้ายก็จะมีแต่ทำให้ตัวตนของคุณบิดเบี้ยวเสียอีกต่างหาก

27. หยุดโทษคนอื่นสำหรับปัญหาของคุณ

การไม่รับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง แต่โยนความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นคือนิสัยของคนที่จะไม่มีวันโตเพราะเขาจะไม่มีวันเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนประเภทที่กล้า “รับผิด” และ “รับชอบ” กับตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ “รับชอบ” อย่างเดียว

28. หยุดกังวลเกินไป

การเอาแต่กังวลไปเสียทุกอย่างมีแต่จะทำให้สมองของคุณรวมทั้งความรู้สึกของคุณไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะนำไปสู่ความสุขเลยแถมยังจะฉุดตัวคุณเองในแต่ละวันด้วยซ้ำ เรื่องบางเรื่องคุณอาจจะกังวลได้ แต่เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงเวลา หรือไม่ใช่เรื่องที่คุณควรจะกังวล ถามตัวเองให้ดีเวลาที่คุณจะกังวลกับอะไรว่าคุณควรจะกังวลกับมันไหม

29. หยุดคิดถึงแต่สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น

แทนที่คุณจะเอาสมาธิไปมัวคิดว่าจะเกิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์ คุณควรไปนั่งคิดมากกว่าว่าจะทำอะไรให้เกิดสิ่งที่คุณพึงประสงค์ การคิดในแง่บวก (แบบไม่เกินจริง) คือพื้นฐานที่ทำให้คนคิดก้าวไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นแล้ว เอาพลังและเวลาที่คุณมีไปคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คุณอยากทำให้เกิดขึ้นดีกว่าครับ

30. หยุดเฉยชากับโลก

ไม่ว่าโลกมันจะแย่หรือจะดี มันคงจะดีกว่าที่คุณจะรู้สึกดีที่มีชีวิตอยู่และมีวันนี้ (รวมทั้งพรุ่งนี้) มีคนมากมายที่ชีวิตแย่กว่าคุณ (เชื่อเหอะว่ามีจริงๆ) รู้จักยินดีกับสิ่งที่คุณมี พอใจกับความสุขที่คุณได้ในแต่ละวันมันทำให้คุณอยากมีชีวิตต่อไปแทนที่จะมานั่งคิดว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง หรือขาดอะไรไป
Source : http://www.nuttaputch.com/30-things-to-stop-doing-to-yourself/
----------------------------------------