อดีต
|
ปัจจุบัน
|
อนาคต
|
คำทำนาย
| ||
| ||
|
อดีต
|
ปัจจุบัน
|
อนาคต
|
| ||
| ||
|
|
ลองอ่านกันดูว่าได้ประโยชน์กันในด้านไหนอย่างไร
เชื่อว่าได้ประโยชน์กันมากน้อย ตามแต่ความสนใจและความอยากพัฒนาตนเองค่ะ:)
*****************
มุมมองที่นายโจโจ้ได้ก็คือ การค้นหาหรือวิ่งเข้าหาสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่ทาง ที่จะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น ถ้าต้องการจะได้มา ต้องสร้างเหตุเท่านั้นครับ
ทั้งหมด เขียนจากประสบการณ์จริง ได้ผลจริง แต่ต้องทำงานหนักครับ เมื่อทำงาน จึงจะได้งาน แต่ถ้าวิ่งเข้าหาจะเอาผลของงานโดยไม่ทำงาน มีแต่จะสร้างความอึดอัดให้ทั้งตนเองและผู้ที่ถูกวิ่งตามโดยไม่มีทางได้มา ครับ
ถ้าไม่ได้สร้างเหตุไว้ก่อนหน้าที่สมควรกัน
คนจะอยู่ร่วมกันได้ ต้องมีศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะเสมอกันเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรู้สึกดีๆต่อกัน และถ้าไม่มีความรู้สึกดีๆต่อกัน นึกถึงกันแล้วเย็นใจ สบายใจ เห็นกันแล้วชื่นใจ
ที่เหลือ ถ้าไปหวังและไปยึดเข้า ก็จะมีเพียงความผิดหวัง หดหู่ ซึมเศร้าครับ
“การอธิษฐานขอสิ่งที่เหมาะสมและเติบโตไปพร้อมๆกันกับเรา” เป็นกุญแจสำคัญที่สุดครับ
น้องสาวนายโจโจ้เคยอธิษฐาน "ขอให้ได้เจอคนที่เหมาะสม" เขาก็แค่ "ได้เจอ" จริงๆ แต่เจอกันแป๊บเดียวแล้วก็ต้องแยกกัน ด้วยสาเหตุหลายประการที่เขากับนายโจโจ้มาวิเคราะห์กันแล้วเห็นในภายหลังคือ
1) เขาตั้งจิตเพียงให้ "ได้เจอ"
2) เขาไม่เคยสร้างเหตุร่วมกันเพิ่มเติมให้มีความเหมาะสมกันยิ่งขึ้น
3) เมื่อได้เจอ เขาลืมเรื่องการสร้างเหตุในข้อ 2 ทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาเสพสุขกันอย่างเดียว คนที่ไม่เคยสร้างเหตุไว้ ก็เหมือนคนไม่ค่อยจะมีเงินเก็บ เจอที่ช็อปปิ้งก็ใช้ๆๆๆโดยไม่หาเพิ่ม แป๊บเดียวเงินก็หมด พอเงินหมด ก็หมายถึงปัจจัยที่ทำให้ได้อยู่ร่วมกันหมด ก็ต้องแยกกันไปแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
ณ วันนี้ น้องสาวนายโจโจ้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นมาก เขาชักชวนแฟนคนปัจจุบันเขารักษาศีล ภาวนา เริ่มจากศีล 5 ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ปัจจุบันผ่านมาราวครึ่งปี เขาก้าวไปถึงศีล 8 ในวันหยุด วันธรรมดาเริ่มเป็นศีล 5 ได้นานขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นก็ไปวัดฟังธรรม ใส่บาตร ร่วมกันสละทรัพย์ทำบุญ ถวายสังฆทาน สร้างวัด ฟังซีดีหลวงพ่อกันเป็นปกติ เดือนละครั้งจะไปเดินจงกรมภาวนากันตามสถานที่ๆมีสัปปายะธรรมและมีความคุ้น เคย
ยิ่งทำไปก็ยิ่งเห็น ว่าความเข้ากันได้ค่อยๆเพิ่มขึ้น และกับแฟนคนปัจจุบันเธอไม่เคยทะเลาะกันเหมือนที่เคยเกิดแฟนคนก่อนๆ
กฏแห่งกรรมไม่เคยไม่เสมอภาค(ยุติธรรม)ครับ และกฏแห่งกรรมทำงานตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างที่เราแต่ละคนได้พบได้เจอ เป็นสิ่งที่เราสร้างเหตุไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ
อย่าไปเสียเวลาชักชวน ชี้ชวน ชี้นำ ตามตื๊อ คาดคั้นใครต่อใครให้คิดเพื่อให้เราได้ตามที่เราคนเดียวเท่านั้นต้องการเลย ครับ เพราะจะเป็นการก่อกรรมใหม่ที่จะให้ผลเป็นการนำเราไปเผชิญเรื่องแบบเดียวกับ ที่เราทำไว้เท่านั้น ไม่ได้ให้อะไรน่าชื่นใจเลยสักนิด
"กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ แต่ที่มักจะไม่ยุติง่ายๆคือความอยากของเราครับ ยิ่งอยากก็ยิ่งก่อกรรมเพิ่ม"
"อยากได้มากกว่านี้ มีวิธีเดียวครับ หันกลับไปสร้างเหตุให้มากยิ่งๆขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็หยุด อย่าไปเสียเวลาวิ่งตามหามันเลย เสียเวลาเปล่าครับ"
สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นที่เข้ามาในชีวิตหลังจากการอธิษฐานจิต ที่ส่งให้นายโจโจ้ได้สร้างเหตุสำหรับสิ่งที่ตั้งจิตไว้ก็คือ
1)ได้ทำให้คู่รักเกือบ 100 คู่พ้นจากความทุกข์เรื่องความรัก
2)ได้ร่วมรับรู้เรื่องราวที่เป็นปัญหาของแต่ละคู่โดยละเอียดมาก ซึ่งส่งให้ได้เข้าใจจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง เรียกว่ารับรู้จนชำนาญ จนเบื่อ จนเอือม และเมื่อไหร่ที่มันจะเกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับตัวเองหรือกับคนใกล้ตัว ก็รู้ตัว เตือนคนใกล้ตัวให้รู้ตัวและหลีกได้ในทันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
3)ได้เพื่อนจำนวนมาก
4)ได้ให้ธรรมเป็นทาน
5)ได้อานิสงค์จากสิ่งที่กระทำ
6)ได้ความเข้าใจการทำงานของกฏแห่งกรรม เหตุที่แต่ละคนเคยสร้าง จนต้องมาเผชิญกับผลที่แตกต่างกันไป
7)ได้เข้าใจตามที่แจกแจงคุณหุ่นยนต์ไปแล้ว ว่าอย่าไปเสียเวลากับการตามหาหรือชักจูงใครให้ทำสิ่งที่เราต้องการเลย หันมาสร้างเหตุ จะดีที่สุดกับทุกฝ่าย สร้างเหตุไว้แบบไหน ก็จะได้รับผลแบบนั้นครับ
ฯลฯ
เพราะใจคนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยหรือกาลเวลานี่เอง ทำให้การอธิษฐานว่า "พบคนที่เหมาะสมและเติบโตไปด้วยกัน (พร้อมๆกัน)" เป็นสาเหตุสำคัญ เพราะเมื่อโตไม่เท่ากัน คนนึงโตเร็ว อีกคนไม่ยอมโต ก็ย่อมจะขาดจากกัน
การทู่ซี้ดึงรั้ง เพียรพยายามจะไม่ให้ขาดนั่นเอง ที่เป็นการก่อกรรม
อธิบายให้ชัดขึ้นอีกได้ว่า การไปพยายามขอความเห็นใจ หรือกดดันบีบบังคับด้วยความสามารถในการใช้คำ หรือเล่นละคร หรือพยายามล่อลวงให้คนอื่นหลุดปากรับว่าจะให้ตามที่ถูกกดดันล่อลวงด้วย เหตุผลต่างๆ
แทนที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ความ เหมาะสมเกิดขึ้นจนเรื่องๆต่างๆเกิดความยินยอมพร้อมใจ เป็นการก่อกรรมชนิดที่ผู้ก่อก็ย่อมไม่ยินดีให้เกิดกับตนเองเช่นกัน...
การพยายามทำแบบนั้น มีแต่จะอึดอัดกันไปหมดทุกฝ่ายครับ
เมื่อได้อธิษฐานไปแล้ว ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างต่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อธิษฐานจิตไว้ ซึ่งตรงนี้ ให้ทำไปตามขั้นตอน จะอธิษฐานซ้ำเรื่องเดิมเรื่อยๆก็ได้ และอย่าไปปฏิเสธสิ่งที่เข้ามาในชีวิต เพราะนั่นมักจะเป็นผลจากการที่เคยอธิษฐานไว้
แต่ให้เรียนรู้ใจตัวเองไปว่าเมื่อกระทบกับสิ่งที่เข้ามาแล้วรู้สึกอย่างไร รู้สึกขึ้นมาแล้วควบคุมได้ไหม (คือให้ดูความเป็นอนัตตา คือสั่งบังคับให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้) รู้สึกขึ้นมาแล้วความรู้สึกนั้นอยู่คงทนไหม (คือให้ดูอนิจจัง) รู้สึกขึ้นมาแล้ว เมื่อยึดกับความรู้สึกนั้น เกิดทุกข์ไหม(ทุกขัง) ให้ได้มากที่สุด
หมั่นอบรมจิตใจด้วยความรู้ไปเนืองๆไม่ว่าอะไรจะเข้ามา รู้เข้าไปให้มากเท่าที่จะทำได้ในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน ตรงนี้หมายความว่าช่วงทำงานก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด เพราะเขาจ้างเรามาทำงาน ไม่ได้จ้างมาปฏิบัติธรรม แต่ช่วงพักจากงานนั้น รู้ไปให้มากที่สุด โดยไม่ใช่ให้ไปรู้เนื้อหาที่คิด แต่รู้ภาพรวมจนเห็นว่าความคิดสั่งไม่ได้ จิตสั่งไม่ได้ เวลาทุกข์จะสั่งให้ไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ ความรู้สึก(เวทนาขันธ์)ก็สั่งไม่ได้แถมไม่เที่ยงด้วย และดูๆไปก็จะเห็น ว่าความจำหรือสัญญาขันธ์ไม่เที่ยงและก็สั่งไม่ได้ วิญญาณขันธ์หรือการรับรู้ก็ไม่เที่ยงและสั่งให้รู้อย่างเดียวตลอดเวลาไม่ได้ สรุปว่าให้ดูจิต ดูขันธ์ ดูกาย ดูเวทนาไป จนกว่าจะเห็นอนัตตา เห็นอนิจจัง เห็นทุกขังที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งจิตเขายอมรับ คือจำนนต่อความจริง ว่าจิตเองก็เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สาเหตุของเรื่องก็คือ ทุกอย่างมีขั้นตอนของมัน อธิษฐานเป็นการตั้งเข็ม เวลาเราอธิษฐานจิต เราได้ยินก่อนคนแรก การอธิษฐาน เป็นการบอกจิตเราเองว่า เดินไปทางนั้นนะ ทีนี้ ในส่วนของความคิด อย่าได้รีบโดดเข้าไปใส่ของที่คิดว่าใช่สิ่งที่อธิษฐานไว้ในทันที
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในภาคปฏิบัติ ที่นายโจโจ้เคยอธิษฐานไว้ราวในเดือนพฤษภาคม ปี 2539 คือขอแฟน ไม่ใช่ขอแฟนดุ่ยๆนะครับ ตอนนั้นอธิษฐานจิตว่า ขอคู่ที่เหมาะสมที่จะเจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน เวลาอธิษฐาน ทำสมาธินิดนึงให้ใจสงบ แล้วกำหนดให้จิตเราเป็นเครื่องส่งวิทยุที่มีกำลังมากที่สุดในจักรวาล คือส่งกระจายความตั้งใจนี้ของเราไปทั่วทั้งจักรวาล แล้วคิดกำหนดสิ่งที่ต้องการนั้น
หลังจากอธิษฐานได้ 1 สัปดาห์ ก็มีคนแนะนำให้นายโจโจ้ไปคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของน้องเพื่อนนาย โจโจ้ที่เขามีปัญหาเบื่อชีวิต กลุ้มใจอยากฆ่าตัวตาย น้องคนนั้นอายุ 12 ก็ได้คุยกับเขา 5 ครั้ง ครั้งแรก 5 ชั่วโมง เขาแทบจะฟังอย่างเดียวโดยเกือบไม่ตอบอะไรเลย ครั้งต่อมา 4 ชั่วโมง จนครั้งสุดท้ายเพียง 1 ชั่วโมง แต่ละครั้งทอดระยะเวลาห่างกันราว 2-3 วัน แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีกราว 1 เดือน แม่เขาโทรมารายงานว่า น้องเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกใจ จากคนที่เบื่อชีวิต เรียนได้ที่สุดท้ายของห้อง กลายมาเป็นที่ 1-2 ในการทดสอบย่อย และจากคนที่ไม่เอาใคร กลายมาเป็นคนที่ใส่ใจกับทุกคน มีเมตตากับทุกคน น้องเขาค่อยๆ พลิกชีวิตเขาจากคนเบื่อโลก จากการเป็นผู้ร้องขอแล้วต้องเศร้าใจกับการที่ไม่ได้ตามที่ขอ/หวัง กลายมาเป็นผู้ให้ ยิ่งให้ไปเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเขาเอง ชีวิตน้องเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ในภาคการศึกษานั้นเขากลายเป็นที่ 1 ของห้อง ถัดมาไม่นานเขาไปเรียนดนตรี เรียนร้องเพลง จนในที่สุดได้ไปทดสอบ casting หน้ากล้อง จนถูกเลือกไปเป็นนางแบบโฆษณา 2-3 เรื่องและเล่นภาพยนต์อีก 1 เรื่อง ก่อนจะจบ grade 12 และเดินทางไปศึกษาต่ออเมริกา ปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่ได้ยินว่าเขามีปัญหาอะไรอีกเลยจากการทำตัวเป็นผู้ให้ไปก่อน
กลับมาที่นายโจโจ้ หลังจากกรณีของน้องคนนั้นเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาในชีวิต ก็ทำไป จากนั้น ในภาพรวม จะเห็นได้ว่า หลังจากอธิษฐาน จะมีงานที่เราต้องกระทำเพื่อให้เดินไปถึงเป้าหมาย ที่ขอสรุปภาพรวมให้เห็นว่า ในช่วงเวลาราว 4 ปีหลังจากการอธิษฐาน นายโจโจ้มีโอกาสได้คุยกับคนกว่า 200 คน เป็นผู้หญิงที่กำลังมีความทุกข์ในเรื่องความรักราว 80% ซึ่งหลายครั้งต้องคุยทั้งกับฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ที่คุยพร้อมๆกันก็มี ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องกับพ่อแม่บ้าง ปัญหาชีวิตทั่วๆไปบ้าง
นายโจโจ้เองมองว่า โอกาสทั้งหมดมาจากการที่ได้อธิษฐานจิตไว้
เมื่อโอกาสเข้ามาก็ต้องลงมือกระทำไป ที่กระทำไปก็คือการสร้างเหตุ สร้างบุญ ใช้กรรมเก่า เพื่อให้เดินไปถึงเป้าที่ได้อธิษฐานไว้
ที่ไปคุยกับคนเหล่านั้น ได้ให้ธรรมะเป็นทาน ได้ทั้งเพื่อน ได้เรียนรู้ปัญหาอย่างใกล้ชิดว่าแต่ละปัญหาเกิดจากอะไร จนคนหลังๆที่คุยด้วย นายโจโจ้แทบจะสรุปปัญหาได้ทันที ว่าปัญหาของคนทุกคนมาจากความเหงา แก้ที่เหงานี่แหละ หมดทุกปัญหา
จนกระทั่งได้พบว่า การดับความเหงาที่ดีที่สุด ก็คือการเจริญสติรู้ตัวนี่เอง เพราะความเหงาคือความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน
การเจริญสติรู้ตัวจึงเป็นคำตอบสำหรับความเหงา คือรู้ตัวตนไป จนกระทั่งเห็นว่า ตัวตนที่พยายามจะให้มี มันไม่มีนี่หว่า มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดล้วนๆ ที่เมื่อทิ้งความเข้าใจผิดนี้ด้วยความจำนนต่อความจริง ว่าตัวเรามันไม่มี ก็คือการละสังโยชน์ 3 นั่นเอง จากการดูจนเห็นชัด เมื่อเห็นชัดก็จะหมดความสงสัย (วิจิกิจฉา) และยังจะขาดจากความเข้าใจผิดว่าการถือศีลแบบพรต (สีลพตปรามาส) คืออดเนื้อ ทรมานตนเองต่างๆ จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วศีลมาจากความตั้งใจจะรักษา(ปทัง)การละเว้น(เวรมณี)การ กระทำ(สิกขา)ที่เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิต ในสิ่งของ ในคู่ ในความจริง ที่มีผู้ถือสิทธิเหล่านั้น รวมทั้งละเว้นจากการดื่มสุราอันเป็นที่ตั้งของความประมาทซึ่งจะนำไปสู่การ ขาดความระวังรักษาใจจนสามารถไปละเมิดสิ่งที่ตั้งใจไว้แล้วโดยปราศจากความ สามารถในการยับยั้งชั่งใจได้ ซึ่งเมื่อรักษาศีลได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดเป็นปัญญาเข้าใจโดยกระจ่างว่าเหตุใดศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็น คือเมื่อตั้งใจจะรักษาศีล ใจจะตั้งมั่นขึ้น เมื่อใจตั้งมั่นขึ้น ก็จะเห็นสิ่งต่างๆชัดขึ้น และการไม่ละเมิดผู้อื่น คืออยู่ในศีล ก็จะทำให้ใจไม่สั่นด้วยความกลัวว่าเขาจะมาละเมิดเรากลับเข้าให้บ้างเพราะเรา ไปเอาของเขามาก่อน ใจจึงเป็นสมาธิ เพราะอยู่ในศีล
เมื่อรักษาศีลถึงเข้าถึงศีลโดยกระจ่างและเจริญภาวนาที่เพิ่มความเห็นชัดและ ความเห็นอย่างเป็นกลางจนพ้นจากความลังเลสงสัย พ้นจากความคิดปรุงแต่งเอาเองทั้งปวงแล้ว ก็จะเข้าถึงความจริง เห็นความจริงได้ว่า ทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่เรา คือพ้นจากสักกายทิฏฐินั่นเอง
ที่โดยปกติ ดูยังไงก็ยังเห็นว่าใจนี้เป็นเรา เป็นของเรา ก็เพราะความเห็นยังไม่ชัด ที่ยังเห็นไม่ชัดก็เพราะยังไม่ภาวนาจนขาดจากวิจิกิจฉา หรือภาวนาแต่ศีลยังไม่บริบูรณ์ คือยังมีการละเมิดสิ่งที่เป็นสิทธิของผู้อื่นอยู่
คงพอได้แนวทางครับ
ว่าจะเขียนเรื่องอธิษฐาน เขียนไปเขียนมา วกมาลงที่การภาวนาทุกที ในความเห็นนายโจโจ้ มันแยกกันไม่ออก ไอ้ครั้นจะให้เฉพาะเรื่องการอธิษฐานเอาอะไรแบบโลกๆ ก็ไม่เห็นว่าเหมาะสม เลยลากยาวมาลงที่การภาวนา จะจบสวยสุดครับ
ท่านที่สนใจเรื่องภาวนาจะได้พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
วิธีการดูดวงด้วยไพ่พรหมญาณแบบที่ 2
|