"ไอ้ข้าว นายเอาไง จะไปไม๊??" เสียงรุ่นพี่ โทรมาจิกปนขู่กับทริปวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ มีให้เลือก ระหว่างเขาใหญ่ กะ เชียงใหม่
อืม คิดก่อนนะ ...ถ้าเป็นเขาใหญ่ก็ไม่อยากไปอ่ะ แต่ถ้าเชียงใหม่ แล้วมันจะมีเวลาเร๊อ??? เมื่อบังคับให้เลือก ก็คงต้องเป็นเชียงใหม่....และจุดหมายที่จะไปคือ ดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยผ้าห่มปก ดอยสูงอันดับสองของประเทศไทย !
ที่ตัดสินใจไปที่นี่ ก็เพราะเราดูตัวอย่างรูปที่รุ่นพี่ส่งมาให้ เป็น Bear With Project , Trip to ดอยผ้าห่มปก ประทับใจอ่ะ น่ารักโคตร เขาใช้หมีเป็นพระเอกในการเดินทาง แล้วหมีไม่ใช่ตัวเล็กน่ารักนะจ๊ะ แบกตัวเท่าคนไปหน่ะ!!!
เราก็เลยอยากเป็นหมีตัวนั้นบ้าง หุหุ
และแล้วก็มาถึงวันศุกร์ วันนี้รู้สึกป่วยและเพลียมาก เนื่องจากปวดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย...เลยบอกพี่ไปว่า ป่วยอ่ะ ไปม่ไหว.....เสียงก่นด่าทอ สวนกลับมาทันใด! ด้วยศักดิ์ศรีตำแหน่งมันค้ำคอ และยังไม่มีใครมาสืบต่อรุ่นที่ 3 ของ KU Robot จึงต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด เลยตอบไปด้วยความหงุดหงิด "เออๆๆๆ แต่ถ้าป่วยมาก ไม่ไปจริงๆนะ"
แต่สุดท้ายก็โดนลากไปจนได้....
จากที่คุยโม้ไว้ว่าสมาชิกที่ไปมีถึง 15 คนมีน้องๆสาวไปกันตรึม พวกผู้ชายก็ดี๊ด๊ากันใหญ่ แต่งานนี้มีไอ้คนเบี้ยวอยู่ ทำให้ฝันของชายไทยวัยหื่นต้องสลาย สุดท้ายก็เหลือแต่หน้าเดิมๆ (เฮ้อ เมื่อไหร่จะชวนหนุ่มๆไปกันบ้างว๊า จะได้กระชุ่มกระชวยหน่อย)
ทริปนี้มีหนุ่มสาวหน้าตาดีถึง 7 คน จากทั้งหมด 7 คน 555 พูดทำไมวะ ?? รวมกลุ่ม โดยเริ่มเดินทางจากเชียงใหม่เที่ยงวัน....แม้จะนาน แต่บรรยากาศรอบข้าง ไม่ไหวแล้ว สวยมาก ลองคิดภาพตามนะ รางรถไฟเส้นทางยาวถูกคลุมไปด้วยหมอก ยิ่งไกลก็ยิ่งทึบจนไม่เห็นทางข้างหน้า อากาศก็เย็นสุดๆ นี่กะว่าจะไม่ขึ้นดอย ไปนั่งชิวตามบาร์ในเมือง เพราะแค่นี้ก็สวยจะแย่แล้ว
ณ เชียงใหม่ เราเตรียมตัว นั่งรถไป อ.ฝาง กันต่อ แต่ระหว่างจะไป บ.ข.ส.นี่สิดันทำกระเป๋าตังหาย !!!! ซวยแสรดดดด รุ่นพีเลยรีบโทรไปสถานีรถไฟ เพราะอาจลืมไว้ในห้องน้ำ ปรากฏว่าเจอ เว๊ย มีคนเก็บไว้ให้ โอเคโล่ง....อ้าวแล้วใครเก็บอ่ะ.....โทรไปอีกรอบ อ้อ ชื่อเปิ้ล ให้ติดต่อเปิ้ล หน้าห้องน้ำนะ โอเค เดี๋ยวขากลับค่อยแวะมาเอา ทริปนี้เราเลยมีคนเลี้ยงทั้งทริปเลย เหอๆๆๆ
นั่งรถหวานเย็น ไป อ.ฝาง ใช้เวลา 3 ช.ม. รถเหวี่ยงมาก ทำเอาสมาชิกเมารถ เมารัก และ เมาเหล้า ในเวลาเดียวกัน (อันนี้ไม่เกี่ยว เหอๆๆ) ถึงฝาง 5 โมงกว่าๆ ต้องจ้างรถขึ้นไปบนดอยอีก พอได้รถ ก็ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน เจอเจ๊เจ้าหน้าที่เหวี่ยงใส่อย่างแรงงง มันเริ่มที่เราถามว่าเป็นนิสิตลดป่าวคะ เจ๊บอกว่า ถ้าพี่ลดให้ พี่ก็ต้องออกให้น้องนะ จะเอาไหม เราก็เหรอคะ.....แล้วมันก็เขียนใบเสร็จค่าเข้าโดยลอกจากฟอร์มที่เขียนให้ เจ๊นั่นดันอ่านลายมือเราไม่ออก บ่นอีก เขียนอะไรทำไมอ่านไม่ออกเลยหล่ะ เราเลยเน้นชื่อและนามสกุล (พูดเสียงดังๆข่มไปเลย จะได้รู้ว่าไม่พอใจเหมือนกัน)....เสร็จ ก็เตรียมขึ้นดอย ด้วยอารมณ์บ่จอยเท่าใด
รถเป็นกระบะ มีเหล็กกั้นสูงๆ การเดินทางขึ้นดอยครั้งนี้ผู้หญิงนั่งหลัง ผู้ชายนั่งหน้า เมียคนขับบอก ไม่มีความเป็นผู้ชายเล๊ยยยย 555
แม้ข้างหลังฝุ่นจะเยอะ เพราะถนนเป็นดินแดง แต่มันได้อารมณ์นะ ขึ้นเขากลางคืน ตลอดทาง มีหิ่งห้อย บินมาเล่น มาเกาะ ตลอดเลย กรี๊ดกราด ลั่นป่ากันใหญ่ ...พอขึ้นมาสูงได้ระดับหนึ่ง สวยอีกแล้ว ท้องฟ้า ที่พระอาทิตย์เพิ่งลับ สีแดงอมม่วงสุดสวย เป็นเส้นกลางตัด ทะเลดาว และพระจันทร์เสี้ยวดวงโต บนท้องฟ้า กับ ทะเลดาวนีออน ในตัวเมืองฝาง ระยิบ ระยับไปหมดเลย
ถึงที่พัก ลานกางเต้นท์ มีอยู่แค่ 4-5 เต้นท์เท่านั้น เรามาถึงกลุ่มสุดท้าย เกือบ 2 ทุ่ม รีบกางเต้นท์กัน ปรากฏว่า เต้นที่ผู้หญิงจะนอน เสาดันสั้นไป กางไม่ได้ เลยต้องไปนอนรวมกันที่เต้นท์ใหญ่ อากาศเริ่มหนาวยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ เลยรีบตั้งวงกินข้าว ก่อนเขาจะดับไฟ.....จากนั้นก็อาบน้ำ โอ้บุดด้าเบรสสสส ไม่เคยเจ็บ ขนาดนี้เลย อาบน้ำที่ไหนๆ ก็ไม่หนาวชาเท่าที่นี่แล้ว เจ็บทุกส่วนที่สัมผัสน้ำเลยค่าคู๊นน หน้าว่าด้าน เจอน้ำที่นี่เข้าไป ด้านกว่าเดิมอีก ถึงมาตบก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วตอนนั้น.....
เสร็จ เขาก็ปิดไฟ เราเลยมานั่งผิงเตาถ่าน ปิ้งขนมปัง และ ดวดเบียร์ (ป่าวนะ ไม่ได้กิน เพราะแปรงฟังแล้ว แฮ่ๆๆๆๆ) จากนั้น ก็มาซุกตัวนอนดูดาวตกกัน ....อืมม ดาวไม่เยอะเท่าภูสอยดาว คงเพราะแสงสว่างจากเมืองแน่ๆเลย เลยเห็นดาวตกไม่กี่ดวง....ได้แค่ 4 ทุ่ม ก็ไม่ไหว เข้าเต้นท์ดีฝ่า ต้องตื่นตี 3 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีก ก่อนนอน ทั้งเบียด และตบตีแย่งถุงนอนกับรุ่นพี่ จนน้องสองคนรำคาญ ออกมานอนนอกเต้นท์ จนได้เรื่องคืนนั้น!!!
ระหว่างที่มันนอนอยู่ น้องคนนึงก็สัมผัสได้ถึงมือคนมาจับแขน จับขา แล้วลูบมาถึงเป้า! โอ้ โดนลักหลับหรือเปล่า แต่มันก็ยังพยายามนอนนิ่งใต้ถุงนอนนั้น จนมือเลิกจับไป จากนั้น น้องผู้หญิงที่นอนอยู่ริมประตูเต้นท์ รู้สึกว่ามีคนมารูดซิป มันเลยทักว่าเป็นเพื่อนที่ออกไปนอนนอกเต้นท์หรือเปล่า ด้วยตาที่ยังปรับไม่ได้ของน้องผู้หญิง และ ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร เขาจากไป ทิ้งเพียงร่างดำใหญ่ๆเดินหายไปในความมืด.....บรึ๋ย!!!
สักพัก... น้องผู้ชายทั้งสองคนก็เดินเข้ามาในเต้นท์ เพราะทนความหนาวไม่ไหว น้องผู้หญิงจึงถาม “เมื่อกี๊แกมารูดเต้นท์ป่าววะ” น้องผู้ชายงง แล้วบอก “กรูเพิ่งเข้ามาเนี่ย” บรึ๋ย!!!! รอบที่สอง .....ทั้งหมด ไม่พูดอะไร แล้วรอเวลาตื่น
ตี3 เสียงนาฬิกาดัง บังคับให้ทุกคนตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น.... เราจัดแจงเตรียมของ และลากสังขารอันอ่อนระโหยโรยแรง แต่กำลังใจเต็มเปี่ยม ขึ้นเขากันเช้ามืดนี้....ทางขึ้นเขา มีทั้งหมด 5 ลูก ไอ้เอี้ย ! ชันแสรดดดด สูงเอี้ย......มืดมาก.....เพียงลูกแรก น้องผู้ชายคนนึง ขอลา เราจึงทิ้งคำสัญญาว่าจะเจอกันข้างบนยอดนะ แต่น้องไม่รับปาก เพราะไม่มีแรงพูด หอบแฮ่กๆๆๆ (เป็นเพราะสูบบุหรี่จัดแน่ๆ) เราเลยไฟฉายให้มัน..... เหลือ 6 คน เดินทางต่อ ด้วยเส้นทางที่ชัน มืด เต็มไปด้วยขอนไม้ รากไม้ และ เหลือไฟฉายแค่กระบอกเดียว โดยมีรุ่นพี่เป็นคนนำทาง โอยยยย ..... เอาแรงมาจากไหนวะ เดินเร็วอิ๊บอ๋ายเลยยย เราเดินตามไม่ทันแสง น้องผู้หญิงจึงงัดกล้องดิจิตอล และรุ่นพี่อีกคนก็งัดโทรศัพท์มือถือ ออกใช้ส่อง ดู หิ..น...น.....น ตามทางเดิน..... ทุลักทุเลย และเหนื่อยแทบขาดใจ เราเดิน 2 ช.ม.ขึ้นถึงยอดภูในเวลา ตี 5 .15
เงียบสงัด ไม่มีใครขึ้นมาเลย ..... ข้างบนเป็นพื้นที่โล่ง เป็นยอดของภูเขาจริงๆ ไม่มีต้นไม้ใดๆมาบังตาเราทั้งนั้น เราจึงเห็นท้องฟ้าที่มืดสนิท เต็มไปด้วยดวงดาว ที่แน่น และ สวยจริงๆ จากความเหนื่อยและหิว จึงงัดเสบียงมานั่งกินรอพระอาทิตย์ขึ้น เป็นโมเมนท์ที่หนาว ทรมานใจมาก มันเย็นยะเยือก จนไม่อยากเอามือออกจากเสื้อเลย.....พร้อมทั้งรุมประณามรุ่นพี่คนที่เร่งให้ขึ้นมา ว่าจะรีบทำไมวะเนี่ย....
6.00 เส้นขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จากดำกลายเป็นม่วงครามแดง เป็นเส้นตัดท้องฟ้าที่สวยงาม แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย มันสวยซะจนอยากจะหยุดไว้แค่นั้นแหล่ะ....แต่เวลาก็ล่วงเลยมาเรื่อยๆ แสงเริ่มสว่างขึ้น ภูเขาแต่ละลูกเริ่มฉายตัวเองออกมาจากความมืด สลับเล่นสีกัน แต่ยังไม่ชัดเท่าใดนัก
6.30 คนเริ่มทยอยขึ้นมา มากขึ้นเรื่อยๆ มารอดูดวงอาทิตย์ขึ้นรับวันใหม่พร้อมกัน ..... ทะเลหมอก ที่ลอยสูง เริ่มเห็นจับตัวในหุบเขาเป็นหย่อมๆ แต่ก็ไม่เยอะนัก แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่ครีเอทท่าทางถ่ายรูป เพราะท้องฟ้าวันนี้มันใสเหลือเกิน ..... ถ่ายกันจน Memory เต็ม เลยเตรียมตัวลง ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย.....
ขาลง....เพิ่งตระหนักถึงความยากลำบากกับเขา 5 ลุกที่พิชิตมาเมื่อเช้ามืดนี้ “ดีและที่มองไม่เห็นทาง จะได้ไม่ท้อ” ทำไมมันชันขนาดนี้วะ....เราและรุ่นพี่ผู้หญิง ไม่รอช้า ชอบนักแหล่ะ ทางอย่างนี้ มันต้องวิ่งลง เราสองคนวิ่งกันฝุ่นตลบ แบบชินทางกันมาก ....เวลาเจอกลุ่มคนที่ลงมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องปล่อยให้เขาเดินลงนำไปซักระยะก่อน เราจึงวิ่งตามกันลงไป ถึงที่พักอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสูดฝุ่นไปหลายตลบ.....
เราเตรียมตัวเก็บของเก็บเต็นท์.....พี่คนขับรถมารอรับแล้ว หลับมาตลอดทาง ซึ่งผู้หญิงยังต้องนั่งข้างหลังเหมือนเดิม.....ตื่นมา นึกว่าถึงเมืองเชียงใหม่ อ้าวไม่ใช่เพิ่งถึงอ.ฝาง คิดเหนื่อยใจ นี่ต้องนั่งอีกตั้ง 3 ช.ม.เลยเหรอ รถไฟมา 15.40 จะทันไม๊?? นั่งหลับนั่งลุ้นมาตลอดทาง
ออกจากฝาง 12.00 ถึง เชียงใหม่ 15.20 ก็เริ่มวางแผนแยกย้าย เราก็ใจกังวล อยากได้เป๋าตังคืน รุ่นพี่คนที่โทรไปถามก็โอ้เอ้ ยึกยักจะไม่กลับ เราก็เริ่มหงุดหงิด จนเราตัดสินใจที่จะไปสถานีรถไฟคนเดียว รุ่นพี่คนนั้นก็ทักขึ้นว่า “กลับรถทัวร์เถอะ เดี๋ยวผมให้ตังค์คุณกลับบ้าน” ซักพัก ก็โยนกระเป่าตังเราออกมาจากเป้ ไอ้ ____!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เก็บไว้ตลอดเลยเหรอ แล้วก็ไม่มีใครที่ชื่อ เปิ้ล ด้วย ไอ้พี่คนนั้นมันแต่งเรื่องหลอกตลอดทาง โดยมีรุ่นพี่อีกคนสมรู้ร่วมคิดด้วย โว๊ย!!!! ทั้งโกรธ ทั้งแค้น โดนอำอีกแล้ว -_-!
เรื่องก็คือ รุ่นพี่คนนี้เห็นกระเป๋าตังค์มันตกในรถ ตอนที่เรากำลังตบตีกับรุ่นพี่ตั๊กอีกคนอยู่ เลยเก็บไว้แล้วไม่บอก
ในเมื่อกลับรถไฟไม่ทัน เราเลยกลับรถทัวร์รอบ 6 โมงเย็นกะรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคน ส่วนคนอื่นๆกลับกลับรอบทีหลัง... ที่จริงก็ไม่อยากรีบกลับเลย แต่วันจันทร์มันมีงาน และเยอะของจริง
พอมาถึง บ.ข.ส. ก็ไปล้างหน้าล้างตา ความซวยเกิดกับตัวอีกแล้ว ล้างหน้าอยู่ น้ำดันไม่ไหล โฟมก็ค้างอยู่เต็มหน้าอย่างงั้นหน่ะ บอกพี่เค้า เค้าบอกว่ากำลังเปลี่ยนปั๊มน้ำพอดี รอ 10 นาที เอ๊า! พี่ไม่ไหวแล้ว แสบหน้ามาก ขอน้ำหน่อย เขาเลยเอาน้ำจากตุ้เย้นมาให้ล้างหน้าเลย เฮ้อ รอดปายยยย......รถออก 6 โมง ถึงอยุธยาตี 4 อาบน้ำ แต่งตัว และเดินทางสู่ Office วันจันทร์
เฮ้อ .... ทำไปได้